การตรวจสอบ Load Test ปั้นจั่น และเครน ต้องตรวจสอบอะไรบ้าง?

การตรวจสอบ Load Test ปั้นจั่น และเครน ต้องตรวจสอบอะไรบ้าง?

ในประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ระบุให้นายจ้างต้องการตรวจสอบปั้นจั่น หรือที่หลายคนเรียกกันง่าย ๆ ว่า Load Test ตามน้ำหนักที่กำหนดไว้ แต่บางคนอาจจะยังสงสัยว่า Load Test คืออะไร แล้วสำคัญยังไง ทำไมถึงขั้นต้องออกกฎหมายบังคับให้นายจ้างทุกคนปฏิบัติตาม 

วันนี้ผมจะมาช่วยไขข้อสงสัยให้กับทุกคน ว่าจริง ๆ แล้ว Load Test คืออะไร ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญ การทำ Load Test ต้องตรวจสอบและมีข้อกำหนดอะไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ ด้วยครับ 

Load Test คือ 

อย่างแรกผมว่าทุกคนควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจคำว่า Load Test กันก่อนดีกว่าครับ 

Load Test คือ การทดสอบรถเครนหรือปั้นจั่น ว่ารถเครนคันนั้น ๆ สามารถรองรับน้ำหนักได้ตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้หรือไม่ 

ซึ่งการทำ Load Test มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติงานและทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และตามประกาศที่ได้มีการกำหนดไว้ การทำ Load Test ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของวิศวกรที่มีประสบการณ์การทำงานด้านการทดสอบปั้นจั่น หรือ รถเครน เท่านั้น พร้อมทั้งต้องมีการบันทึกข้อมูลเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน 

การตรวจสอบ Load Test ปั้นจั่น และเครน ต้องตรวจสอบอะไรบ้าง?

เครื่องมือที่ใช้สำหรับการทำ Load Test ปั้นจั่นและเครน

เครื่องมือที่ต้องใช้สำหรับการทำ Load Test ได้แก่ 

  1. รถเครน หรือ ปั้นจั่นที่ต้องการทำการทดสอบ 
  2. วัตถุที่ใช้สำหรับการทำ Load Test เช่น สินค้า เหล็ก ลูกตุ้มน้ำหนักเหล็กสำหรับใช้ทดสอบ และวัสดุทั่วไป ที่สามารถหาได้หน้างาน ทั้งนี้สามารถใช้ได้หมดเลยครับ เพียงแค่ขอให้เป็นวัตถุที่สามารถยกหิ้วได้ และมีน้ำหนักเพียงพอตามที่มาตรฐาน Load Test กำหนดไว้ 
  3. เอกสารรายงานการทดสอบ

ข้อกำหนดสำหรับการทำงาน Load Test 

ระหว่างที่ทำ Load Test ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากวิศวกรเท่านั้น และน้ำหนักที่ใช้สำหรับทำ Load Test รถเครน ได้แก่ 

1. รถเครนที่ผ่านการใช้งานแล้ว 

สำหรับรถเครนที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ขนาดไม่เกิน 20 ตัน ต้องทดสอบว่าสามารถรองรับน้ำหนักที่ 1 – 1.25 เท่าของพิกัดยกปลอดภัยได้หรือไม่ 

ส่วนรถเครนที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ขนาดมากกว่า 20 ตัน แต่ไม่เกิน 50 ตัน ต้องทดสอบว่าสามารถรองรับน้ำหนักเพิ่มอีก 5 ตัน จากพิกัดยกปลอดภัยได้

2. รถเครนใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านการใช้งาน 

สำหรับรถเครนใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ให้ทดสอบว่าสามารถรองรับน้ำหนักที่ 1.25 เท่าของน้ำหนักใช้งานจริงสูงสุดได้หรือไม่ แต่น้ำหนักที่ใช้ทดสอบจะต้องไม่เกินพิกัดยกปล่อยภัยที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ 

ทั้งนี้ในกรณีที่รถเครนไม่ได้มีการกำหนดพิกัดยกปล่อยภัยจากผู้ผลิตจะต้องให้วิศวกรเป็นผู้กำหนดพิกัดยกปล่อยภัยและพิกัดยกสำหรับทำการทดสอบ 

การตรวจสอบ Load Test ปั้นจั่น และเครน ต้องตรวจสอบอะไรบ้าง?

วิธีการตรวจสอบ Load Test รถเครน

สำหรับการวิธีการทำ Load Test ก็ไม่ได้ยุ่งยากเลยครับ เพียงแค่ใช้รถเครนที่ต้องการทดสอบยกวัตถุตามน้ำหนักที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งรถเครนแต่ละชนิดก็จะกำหนดน้ำหนักวัตถุที่ต้องยกแตกต่างกันออกไปตามที่ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ (สามารถใช้ได้ทั้งน้ำหนักจริง หรือ ทดสอบด้วยน้ำหนักจำลองก็ได้เช่นเดียวกันครับ) ซึ่งในปัจจุบันก็มีวิศวกรบางคนที่ไม่ได้ทำ Load Test ตามน้ำหนักที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยใช้การเปรียบเทียบโมเมนต์สำหรับการยกแทน เพราะยิ่งน้ำหนักมากก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงตาม 

แต่ผมไม่แนะนำวิธีนี้นะครับ เพราะการเปรียบเทียบโมเมนต์สำหรับการยกไม่สามารถเป็นตัวแทนการทำ Load Test ได้อย่างแท้จริง และการทำ Load Test ที่ไม่ถูกต้องและไม่ครอบคลุม จะทำให้วิศวกรไม่สามารถทราบปัญหาของรถเครนคันนั้น ๆ ได้ 

สรุป

การทำ Load Test ที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในที่ทำงานและช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน นอกจากนี้การทำ Load Test ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบำรุงรักษารถเครนให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและสามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น 

ซึ่งข้อสำคัญในการทำ Load Test คือ น้ำหนักวัตถุ และทุกขั้นตอนการทดสอบต้องอยู่ภายใต้การดูแลของวิศวกรที่มีความชำนาญ และผมแนะนำให้ทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัยแบบง่าย ๆ คือ ทดสอบน้ำหนักเท่าไหร่ ก็ใช้รถเครนยกวัตถุที่มีน้ำหนักไม่เกินเท่านั้น 

สำหรับใครที่ไม่อยากพลาดสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ ไว้สำหรับใช้งานทั้งในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมอื่น ๆ  เอกเครน โลจิสติกส์ เราผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี โดยมีทีมงานคอยให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

เช่ารถเครนที่ไหนดี? และสิ่งที่ควรทราบก่อนตัดสินใจเช่ารถเครน

เช่ารถเครนที่ไหนดี? และสิ่งที่ควรทราบก่อนตัดสินใจเช่ารถเครน

สำหรับใครกำลังเผชิญปัญหา เกิดความสับสน และสงสัย ไม่รู้จะเช่ารถเครนที่ไหนดี ควรจะเลือกบริษัทที่ให้บริการเช่ารถเครนยังไงดี  เพราะในปัจจุบันมีหลายบริษัทที่เปิดให้บริการเช่ารถเครน ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะผู้ใช้บริการก็ต้องอย่างได้สิ่งที่ดีและเหมาะกับตนเองมากที่สุด วันนี้ผมจะมาแนะนำสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเช่ารถเครน พร้อมทั้งแชร์ 5 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกบริษัทที่ได้มาตรฐานและได้รถเครนที่ถูกใจ สามารถใช้งานได้ถูกประเภท ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ 

รถเครน คือ 

ก่อนที่จะตัดสินเช่ารถเครนที่ไหนดี ควรจะทำความรู้จักกับรถเครนและประเภทของรถเครนกันก่อนครับ 

รถเครน คือ หนึ่งในเครื่องจักรที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพราะสามารถใช้ยกวัตถุที่มีน้ำหนักจำนวนมากได้ ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น โดยจะยกวัตถุขึ้นลงตามแนวดิ่งและเคลื่อนย้ายวัตถุที่ยก ในลักษณะแขวนลอยตามแนวราบ ทั้งนี้การใช้รถเครน (บางคนอาจจะเรียกว่าปั้นจั่น) จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่มีความชำนาญและเคยได้รับการฝึกอบรม ให้ความรู้เรื่องวิธีการใช้งานและกฎระเบียบเกี่ยวกับรถเครนเป็นคนดำเนินการ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง 

รถเครนมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

ในปัจจุบันสามารถแบ่งประเภทรถเครนตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 

  1. รถเครนที่สามารถเคลื่อนที่ได้ (Mobile Cranes) จะติดตั้งบนอุปกรณ์ที่สามารถเคลื่อนได้ด้วยตนเอง เช่น รถเครนตีนตะขาบ รถเครนล้อยาง เครนติดรถบรรทุก หรือ รถเครน 4 ล้อ เป็นต้น
  2. รถเครนที่ไม่สามารถเคลื่อนได้ (Satationaty Cranes) มักจะติดตั้งบนขาตั้ง หรือ หอคอสูง เช่น เครนหอสูง เครนราง เครนติดผนัง หรือ เครนขาสูง เป็นต้น 

แชร์! 5 เทคนิค เลือกบริษัทให้บริการเช่ารถเครน ที่ไหนดี? 

หลังจากที่รู้แล้วว่ารถเครนใช้ทำอะไรและมีกี่ประเภท ผมจะมาแชร์เทคนิค เลือกบริษัทเช่ารถเครนที่ไหนดี ที่จะช่วยให้ทุกคนได้รถเครนที่ได้มาตรฐานและตรงกับลักษณะการใช้งาน เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับทุกคน 

1. เลือกบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในรถเครน 

สิ่งแรกที่ผมอยากให้ทุกคนคำนึงก่อนตัดสินใจเลือกบริษัทเช่ารถเครน คือ ความเชี่ยวชาญของบริษัทนั้น ๆ โดยอาจจะลองศึกษาข้อมูลบริษัท ว่าเปิดให้บริการมานานแค่ไหนแล้ว (ยิ่งนานก็หมายความว่ายิ่งเชี่ยวชาญครับ) พร้อมทั้งลองพูดคุยสอบถามข้อจำกัดหรือข้อสงสัยกับทางบริษัทดูก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ 

2. เลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ 

หลายคนน่าจะเคยเห็นตามข่าวบนอินเทอร์เน็ตหรือทีวีที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดจากรถเครนกันใช่ไหมครับ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจใช้บริการเช่ารถเครนบริษัทไหน ผมแนะนำให้เลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือโดยอาจจะลองหารีวิวจากผู้ใช้งานจริง หรือ ศึกษาข้อมูลของบริษัท หรือ คุณอาจจะลองเอาชื่อบริษัทที่สนใจไปค้นหาบนอินเทอร์เน็ตว่ามีตัวตนจริง ๆ หรือไม่ เพื่อป้องกันการโดนหลอกด้วยครับ

3. เลือกบริษัทที่มีรถเครนให้บริการหลากหลายประเภท 

บริษัทไหนที่มีประเภทรถเครนไว้ให้บริการหลากหลาย ก็ยิ่งดีครับ เพราะคุณก็จะสามารถเลือกประเภทรถเครนที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานได้ ซึ่งการเลือกรถเครนให้เหมาะกับลักษณะงานถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ อีกหนึ่งอย่างเลยครับ เพราะสามารถช่วยสร้างความปลอดภัยในที่ทำงานได้นั่นเอง 

4. เลือกบริษัทที่ให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา 

แน่นอนว่าพนักงานขายก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจเช่ารถเครนที่ไหนดีด้วยครับ โดยควรเลือกบริษัทที่พนักงานให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถช่วยแนะนำรถเครนแต่ละประเภทให้กับลูกค้าได้ นอกจากนี้การเช่ารถเครนยังต้องคำนึงถึงบริการหลังจากตกลงทำสัญญาเช่าด้วย เพราะถ้าหากรถเครนที่เช่าเกิดปัญหาทั้ง ๆ ที่อยู่ในระหว่างสัญญาเช่า ก็จำเป็นที่จะต้องติดต่อคุยรายละเอียดและวิธีแก้ไขกับพนักงานด้วยครับ 

5. เลือกบริษัทที่คนขับรถเครนได้รับการฝึกอบรม 

การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ขับรถเครนจัดอยู่ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างหนึ่ง นั้นก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้รถเครน สำหรับบางที่อาจจะไม่มีเจ้าหน้าที่ขับรถเครนที่ได้รับการฝึกอบรมการใช้งานรถเครนอย่างถูกต้อง อาจจะลองมองหาบริษัทที่มีคนขับรถเครนที่ได้รับการฝึกอบรมมาแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจและช่วยส่งเสริมปลอดภัยในที่ทำงานด้วยครับ 

สรุป 

เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับ 5 เทคนิค เลือกบริษัทเช่ารถเครน ที่ไหนดี ทุกคนสามารถนำเอาไปปรับใช้การตัดสินใจเลือกบริษัทกันได้ตามความเหมาะสมเลยครับ 

และสำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทที่ให้บริการเช่ารถเครน EK CRANE เราเป็นผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามานานกว่า 30 ปี สามารถให้บริการรถเครนได้ทั่วประเทศไทย และเรามีรถเครนทุกขนาด ทุกประเภท เพื่อตอบโจทย์การทำงานทุกรูปแบบ พนักงานขับรถเครนของเราทุกคนผ่านการอบรมด้านการทำงาน และมีทีมงานมากประสบการณ์ด้านรถเครนคอยให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

แนวทางการตรวจเครนและปั้นจั่น ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด อัปเดต 2024

แนวทางการตรวจเครนและปั้นจั่น ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

หลายคนน่าจะเคยเห็นข่าวอุบัติเหตุรถเครน หรือ ปั้นจั่น ชำรุดในระหว่างดำเนินงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างกันมาบ้างใช่ไหมครับ ?  แน่นอนว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุหนึ่งครั้งก็จะตามมาด้วยความเสียหายที่มีมูลค่ามหาศาล ไม่ว่าจะเป็น ความเสียหายที่ได้รับทางร่างกาย หรือ ความเสียหายทางทรัพย์สินก็ตาม และเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิด การทดสอบปั้นจั่นและเครื่องจักรที่ใช้ดำเนินงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่นายจ้างและลูกจ้างทุกคนต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้

และเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในที่ทำงาน ที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ วันนี้ผมตั้งใจจะพาทุกคนไปรู้จักกับแนวทางการทดสอบปั้นจั่นที่ถูกต้องตามที่กฎหมายที่ทางกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลยครับ 

ทำความรู้จักกับการทดสอบปั้นจั่น 

เครน หรือ ปั้นจั่น เป็นหนึ่งในเครื่องจักรที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพราะสามารถอำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน ช่วยทุ่นแรง และเคลื่อนย้ายวัตถุที่มีน้ำหนักมากได้ โดยทางกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้มีประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการทดสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของปั้นจั่น ในปี 2554 เพื่อเป็นแนวทางดำเนินการทดสอบปั้นจั่นให้กับนายจ้างและวิศวกร ซึ่งการทดสอบปั้นจั่นตามที่กฎหมายกำหนดจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในที่ทำงานให้กับทุก ๆ ฝ่าย 

การตรวจสอบและการทดสอบปั้นจั่นต้องทำอะไรบ้าง 

สำหรับการทดสอบปั้นจั่นผมขอแยกออกเป็น  3 ข้อใหญ่ ๆ  ได้แก่

1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดสำหรับทดสอบปั้นจั่น 

กฎหมายและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบปั้นจั่นมีอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ 

  • ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการทดสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของปั้นจั่น 2554 
  • กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ 2564 

ทั้งนี้การทดสอบปั้นจั่นต้องดำเนินการโดยวิศวกรเท่านั้น โดยต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงและประกาศของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 

2. เอกสารรายงานการทดสอบปั้นจั่น 

นายจ้างจำเป็นที่จะต้องมีเอกสารเพื่อยืนยันว่าตนเองปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเอกสารที่ใช้ยืนยัน ได้แก่

  • รายงานการทดสอบปั้นจั่น โดยต้องได้รับการับรองจากวิศวกรเครื่องกล ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น
  • สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
  • ภาพถ่ายของวิศวกรในขณะทำการทดสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของปั้นจั่น 

3. ความถี่ในการทดสอบปั้นจั่น 

สำหรับความถี่ในการทดสอบสามารถแบ่งได้ตามประเภทและลักษณะการใช้งานครับ โดยแบ่ง 4 ประเภท ได้แก่ 

  • ปั้นจั่นที่ใช้สำหรับงานก่อสร้าง 

สำหรับปั้นจั่นที่ใช้ในงานก่อสร้างที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยไม่เกิน 3 ตัน กำหนดให้มีการทดสอบทุก ๆ 6 เดือน และ ปั้นจั่นที่ใช้ในงานก่อสร้างที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยมากกว่า 3 ตัน แต่ไม่เกิน 50 ตัน กำหนดให้มีการทดสอบทุก ๆ 3 เดือน 

  • ปั้นจั่นที่ใช้สำหรับงานอื่น ๆ 

สำหรับปั้นจั่นที่ใช้ในงานอื่น ๆ ที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยไม่เกิน 3 ตัน กำหนดให้มีการทดสอบทุก ๆ 1 ปี และ ปั้นจั่นที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยมากกว่า 3 ตัน แต่ไม่เกิน 50 ตัน กำหนดให้มีการทดสอบทุก ๆ 6 เดือน และ ปั้นจั่นที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยมากกว่า 50 ตัน กำหนดให้มีการทดสอบทุก ๆ 3 เดือน 

  • ปั้นจั่นที่ไม่มีพิกัดยกปลอดภัย 

สำหรับปั้นจั่นที่ผู้ผลิตไม่ได้กำหนดพิกัดยกปลอดภัยไว้ นายจ้างต้องให้วิศวกรเป็นผู้กำหนดพิกัดยกปลอดภัย รายละเอียดวิธีการใช้งาน วิธีเก็บรักษาและซ่อมบำรุง รวมไปถึงความถี่ในการทดสอบเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน 

  • ปั้นจั่นที่ชำรุด หรือ หยุดใช้งาน 

สำหรับปั้นจั่นที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย หรือ ปั้นจั่นที่หยุดใช้งานมากเป็นระยะเวลานานเกิน 6 เดือน กฎหมายกำหนดให้มีการทดสอบใหม่ก่อนนำไปใช้งานจริง 

น้ำหนักวัตถุที่ใช้สำหรับทดสอบปั้นจั่น 

แน่นอนครับว่าการทดสอบปั้นจั่นต้องเกี่ยวข้องกับน้ำหนักวัตถุ โดยน้ำหนักวัตถุที่ใช้สำหรับทดสอบปั้นจั่นจะเป็นตามอายุการใช้งาน ได้แก่ 

1. ปั้นจั่นที่ผ่านการใช้งานแล้ว 

กฎหมายกำหนดให้นายจ้างทดสอบการรับน้ำหนักของเครนที่ 1.25 เท่าของน้ำหนักที่ใช้งานจริงสูงสุด โดยไม่เกินพิกัดยกปลอดภัยที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ และสำหรับปั้นจั่นที่ผู้ผลิตไม่ได้กำหนดพิกัดยกปลอดภัย นายจ้างต้องให้วิศวกรเป็นผู้กำหนดพิกัดยกในการทดสอบปั้นจั่น 

2. ปั้นจั่นใหม่ 

  • ปั้นจั่นที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยไว้ ไม่เกิน 20 ตัน ให้ทดสอบการรองรับน้ำหนักที่ 1 เท่า และไม่เกิน 1.25 เท่า 
  • ปั้นจั่นที่ผู้ผลิตกำหนดพิกัดยกปลอดภัยไว้ มากกว่า 20 ตัน แต่ไม่เกิน 50 ตัน  ให้ทดสอบการรองรับน้ำหนักเพิ่มอีก 5 ตัน จากค่าพิกัดยกปลอดภัยที่กำหนดไว้ 

สรุป 

เพราะการทดสอบปั้นจั่นเป็นตัวช่วยที่จะเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติงาน ช่วยลดความรุนแรง และลดมูลค่าความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ผมแนะนำให้ทุกคนให้ความสำคัญและปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าหากนายจ้างคนไหนที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรืออาจจะทั้งจำทั้งปรับเลยก็ได้นะครับ 

สุดท้ายนี้ถ้าหากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ 

เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

กฎกระทรวงการทำงานบนนั่งร้าน อัปเดต 2567 เพื่อความปลอดภัยในการทำงานที่สูง

กฎกระทรวงการทำงานบนนั่งร้าน

จากสถิติที่ได้มีการรวบรวมพบว่าการทำงานบนนั่งร้าน หรือ การทำงานบนที่สูง มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ค่อนข้างสูง และมากกว่า 50% การเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานบนนั่งร้านทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับอาการบาดเจ็บ พิการ และอาจจะรุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิต จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งนายจ้างและเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานบนนั่งร้านต้องให้ความสำเร็จกับกฎหมายนั่งร้าน 

วันนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก กฎหมายนั่งร้าน ปี 2565 ซึ่งเป็นฉบับอัปเดตใหม่ล่าสุดที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันในปี 2567 ที่จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน ซึ่งกฎหมายนั่งร้านนั้นถือว่าเป็นกฎหมายที่นายจ้างจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มาดูเหคุผลกันเลยว่าทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น

ความสำคัญของกฎหมายนั่งร้าน 

นายจ้างและเจ้าหน้าที่หลายคนยังคงละเลยความสำคัญของกฎหมายนั่งร้าน และนั่นเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติทำงานครับ เพราะในบางครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ ความเสียหายที่ได้รับมักจะไม่สามารถประเมินค่าได้ เช่น พิการ ร่างกายไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ หรือ การเสียชีวิต 

ทีนี้ทุกคนพอน่าจะเข้าใจกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมกฎหมายนั่งร้านจึงมีความสำคัญ เพราะการปฏิบัติตามกฎกระทรวงสามารถช่วยสร้างความปลอดภัยในระหว่างทำงาน ช่วยทำให้เจ้าหน้าที่มีความมั่นใจทำให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากอุบัติเหตุได้ด้วยครับ 

สรุปกฎหมายนั่งร้านปีล่าสุด 2567 ที่คนทำงานต้องรู้! 

ผมได้สรุปใจความสำคัญของกฎหมายนั่งร้านฉบับล่าสุด โดยเป็นฉบับประจำปี 2565 ที่นายจ้างและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรรู้ไว้ให้แล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

1.นายจ้างต้องจัดให้มีการคำนวณออกแบบโดยวิศวกร 

สำหรับนั่งร้านที่มีความสูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป หรือ นั่งร้านเสาเรียงเดี่ยวที่มีความสูงเกิน 7.20 เมตร โดยที่ไม่มีคุณสมบัติและคู่มือการใช้งานที่ผู้ผลิตกำหนด กฎกระทรวงบังคับให้นายจ้างต้องจัดให้มีการคำนวณออกแบบโดยวิศวกรเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน 

2.เจ้าหน้าที่ต้องสวมใส่อุปกรณ์นิรภัย (PPE)

กฎหมายนั่งร้าน 2565 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องปฏิบัติงานบนนั่งร้าน ต้องสวมใส่ชุดและอุปกรณ์นิรภัยที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงานบนนั่งร้าน และลักษณะอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และกำหนดให้สวมใส่อุปกรณ์นิรภัยตลอดระยะเวลาการทำงาน โดยอุปกรณ์ที่สวมใส่ต้องพร้อมใช้งาน ไม่มีการชำรุดหรือได้รับความเสียหาย 

3.จัดอบรมและให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานบนนั่งร้าน 

นายจ้างต้องมีการจัดอบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานบนนั่งร้าน หรือ การทำงานบนที่สูง โดยต้องจัดอบรมและชี้แจ้งรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงาน นอกจากนี้นายจ้างจำเป็นที่จะต้องจัดเตรียมสำเนาเอกสารที่รวบรวมรายละเอียดการทำงานและมาตรการควบคุมความปลอดภัยต่าง ๆ ในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน 

4.กำหนดพื้นที่อันตราย 

กฎหมายนั่งร้าน 2656 ได้ระบุให้จัดทำรั้วหรือกั้นเขตพื้นที่อันตรายด้วยวัสดุที่เหมาะสมและต้องมีป้ายเตือนว่า “เขตอันตราย” ไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ป้ายเตือนจำเป็นที่จะต้องสามารถมองเห็นได้ทั้งในตอนกลางวันและตอนกลางคืน ซึ่งสำหรับพื้นที่อันตรายต้องมีการกำหนดบุคคลเข้าออก และห้ามไม่ให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ หรือ เคลื่อนย้ายและรื้อถอนวัสดุก่อนได้รับอนุญาต 

5.ปฏิบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด 

สำหรับการประกอบ ติดตั้ง เคลื่อนย้าย ตรวจสอบ และรื้อถอน ต้องปฏิบัติตามรายละเอียดในคู่มือที่ผู้ผลิตกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ถ้าหากไม่มีคู่มือการใช้งานจากผู้ผลิต ในนายจ้างต้องจัดให้วิศวกรเป็นผู้จัดทำรายละเอียดคุณลักษณะและคู่มือการใช้งานเป็นหนังสือ และต้องมีสำเนาให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย 

6.ตรวจเช็คสภาพนั่งร้าน 

นั่งร้านจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยทุกครั้งที่มีการตรวจสอบต้องมีการทำรายงานผลการตรวจสอบไว้ เพื่อให้พนักงานตรวจสอบความปลอดภัยสามารถตรวจเช็คอีกรอบได้ และต้องมีการตรวจเช็คสภาพนั่งร้านทุกครั้งก่อนใช้งาน 

7.ติดตั้งสัญลักษณ์หรือป้ายเตือน 

กฎหมายนั่งร้าน 2565 กำหนดให้พื้นที่อันตราย หรือ พื้นที่ที่จะเกิดอาจจะอันตราย ต้องติดตั้งป้ายเตือน หรือ สัญลักษณ์เตือนอันตราย ไม่ว่าจะเป็น ห้ามเข้า ระวังวัสดุตกหล่น ระวังลื่น หรือ เขตอันตราย นอกจากนี้การติดตั้งสัญลักษณ์เตือนยังรวมไปถึงการเตือนให้สวมใส่อุปกรณ์นิรภัย เช่น หมวก รองเท้า ถุงมือ และอื่น ๆ 

8.มาตรการป้องกันวัสดุตกหล่น 

การทำงานบนนั่งร้าน หรือ การทำงานบนที่สูง มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุวัสดุตกหล่น ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ หรือ พนักงานที่อยู่บริเวณรอบ ๆ มาตรการป้องกันวัสดุตกหล่นจะช่วยลดอันตรายที่เกิดขึ้นได้ โดยกำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีการป้องกันวัสดุตกหล่นให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน 

9.ลักษณะของนั่งร้านที่ไม่สามารถใช้งานได้

ห้ามไม่ให้ลูกจ้างปฏิบัติงานบนนั่งร้านที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ 

  1. นั่งร้านที่มีส่วนใดส่วนหนึ่งชำรุด 
  2. นั่งร้านที่มีพื้นลื่น 
  3. นั่งที่อยู่ในสภาพที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้ 
  4. นั่งร้านที่อยู่นอกอาคาร ในระหว่างที่เกิดพายุ ลมแรง ฝนตก หรือ ฟ้าผ่า เป็นต้น 

ทั้งนี้สำหรับนั่งร้านที่อยู่นอกอาคารที่สภาพอากาศไม่เหมาะสมตาม ข้อ 4 จะถูกยกเว้น ถ้าเป็นการทำงานเพื่อช่วยเหลือหรือบรรเทาเหตุ แต่ทั้งนี้จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก 

สรุป 

สำหรับผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะเข้าใจและให้ความสำคัญกับกฎหมายนั่งร้านกันมากขึ้น เพราะอุบัติเหตุสามารถก่อให้เกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาลและเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองและคนที่คุณรัก ทั้งนี้นายจ้างและเจ้าหน้าที่ทุกคนควรปฏิบัติตามกฎหมายนั่งร้านอย่างเคร่นครัด เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและส่วนรวมครับ  

สุดท้ายนี้ถ้าหากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ 

เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จัก Safety Patrol การเดินตรวจความปลอดภัยในพื้นที่ทำงานก่อสร้าง

รู้จัก Safety Patrol การเดินตรวจความปลอดภัยในพื้นที่ทำงานก่อสร้าง

การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือ บริเวณพื้นที่ทำงานก่อสร้าง นายจ้างจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในที่ทำงาน และต้องกำหนดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งการทำ Safety Patrol คือ หนึ่งในขั้นตอนที่จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงานหรือพื้นที่ทำงานก่อสร้าง 

บทความนี้ผมเลยจะพาทุกคนไปรู้จักว่า Safety Patrol คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ทำไมโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลาย ๆ โรงงานถึงให้ความสำคัญ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วไปดูกันเลย 

Safety Patrol คือ 

หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหู กับคำว่า Safety Patrol คืออะไร และมีความสำคัญยังไงกันใช่ไหมครับ ? วันนี้ผมจะช่วยไขข้อสงสัยให้กับทุกคนเอง 

จริง ๆ แล้ว Safety Patrol คือ การเดินสำรวจโรงงานหรือบริเวณที่ทำงานก่อสร้าง เพื่อหาสาเหตุที่อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรม หรือ เขตบริเวณพื้นที่งานก่อสร้าง ที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์ของเจ้าหน้าที่และบริษัทได้ และไม่ใช่เพียงแค่หาสาเหตุแล้วจบไปเท่านั้นนะครับ แต่เจ้าหน้าที่ที่ทำ Safety Patrol จะต้องประเมินความเสียหาย ถ่ายรูป จุด Near Miss ตามบริเวณต่าง ๆ  และกำหนดมาตรการป้องกันก่อนที่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้น 

ทั้งนี้ถ้าหากมีจุดที่จำเป็นต้องซ่อมบำรุงและปรับปรุง จำเป็นที่จะต้องนำเข้าในที่ประชุมเพื่อจัดสรรงบประมาณสำหรับซ่อมบำรุงได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นหลักครับ 

แนะนำวิธีทำ Safety Patrol

การทำ Safety Patrol สามารถทำได้หลากหลายวิธีครับ ซึ่งผมจะแนะนำวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ 

กำหนดความถี่สำหรับการทำ Safety Patrol 

กำหนดความถี่ในเดินสำรวจความปลอดภัย ควรมีการกำหนดความถี่ที่เหมาะสม เพราะถ้าหากกำหนดความถี่ทิ้งระยะเวลานานมากเกินไป อาจจะทำให้ขาดช่วงในการซ่อมบำรุง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายในที่ทำงานได้นั่นเองครับ ทั้งนี้ความถี่ในการทำ Safety Patrol ของแต่ละโรงงานก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับขนาดและผังของโรงงานด้วย 

กำหนดบริเวณสำหรับทำ Safety Patrol 

การกำหนดบริเวณเพื่อทำ Safety Patrol ต้องคำนึงถึงขนาดของโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าหากเป็นโรงงานขนาดเล็กก็สามารถเดินสำรวจประเมินความปลอดภัยได้ทั่วโรงงานในครั้งเดียว แต่ถ้าเป็นโรงงานขนาดใหญ่ และมีไลน์ผลิตจำนวนมาก ก็จำเป็นต้องกำหนดบริเวณ เช่น เดินสำรวจความปลอดภัยครั้งที่ 1 บริเวณไลน์ A และ  เดินสำรวจความปลอดภัยครั้งที่ 2 บริเวณไลน์ B เป็นต้น 

กำหนดสมาชิกทีมสำหรับทำ Safety Patrol 

สำหรับการกำหนดสมาชิกทีมเพื่อทำ Safety Patrol สามารถกำหนดได้หลากหลายแบบ แต่จำเป็นต้องมี คปอ (คณะกรรมการความปลอดภัย) อยู่ในทีมเดินสำรวจความปลอดภัยเสมอ ทั้งนี้จำนวนสมาชิกทีมหรือการแบ่งจำนวนทีมขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงานแต่ละแห่งด้วยครับ 

เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับทำ Safety Patrol 

การทำ Safety Patrol จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เพื่อให้การเดินสำรวจความปลอดภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเครื่องมือที่นิยมใช้สำหรับทำ Safety Patrol ได้แก่ 

  1. กล้องถ่ายรูป สำหรับถ่ายจุดที่ไม่ปลอดภัยเป็นหลัก และใช้เปรียบเทียบหลังจากซ่อมบำรุง
  2. Check sheet  ต้องมาจากข้อกำหนดของกฎหมายเป็นหลัก 
  3. ป้ายเตือน ถ้าหากพบจุดที่อาจจะก่อให้เกิดอันตราย อาจจะติดป้ายเตือน เช่น ชำรุด / ระวังอันตราย ให้ทุกคนหลีกเลี่ยงบริเวณนั้น ๆ 
  4. อุปกรณ์สำหรับแก้ไข้ชั่วคราว 

สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ที่อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ 

หลังจากที่เข้าใจกันแล้วว่า Safety Patrol คืออะไร ขั้นต่อไปคือการทำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย โดยสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย คือ สภาพแวดล้อมที่อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เกิดอันตรายได้ ไม่ว่าจะเป็น 

  1. อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักร ไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน 
  2. อุปกรณ์ และ เครื่องจักร เกิดการชำรุดและเสียหาย 
  3. ขาดอุปกรณ์ป้องกันอันตราย
  4. ระบบไฟฟ้าชำรุด หรือ บกพร่อง  
  5. จัดเก็บเครื่องมือไม่เป็นระเบียบ ไม่เหมาะสมกับเครื่องมือแต่ละประเภท 
  6. จัดเก็บสารเคมีและวัตถุไวไฟไม่ถูกวิธี 
  7. พื้นที่ไม่เหมาะสม ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ พื้นที่อับอากาศ เป็นต้น 
  8. ไม่มีระบบหรือสัญญาณแจ้งเตือนอันตราย 
  9. การวางแผนผังโรงงานผิดพลาด 
  10. พื้นที่บริเวณทำงานมีความร้อนสูงมาตรฐาน 

สรุป 

การทำ Safety Patrol คือ การเดินสำรวจความปลอดภัย ที่โรงงานอุตสาหกรรมทุกที่ควรให้ความสำคัญ เพราะเป็นการหาสาเหตุที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายในสถานที่ทำงาน เพื่อที่ทีมงานจะได้สามารถหามาตรฐานแก้ไขและหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที โดยการทำ Safety Patrol ของแต่ละโรงงานก็จะแตกต่างกันออกไปตามขนาดและกำลังคนครับ 

ถ้าหากว่าคุณไม่อยากพลาดการอัปเดตข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

การป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน (3E) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการทำงาน

การป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน (3E) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการทำงาน

การทำงานในทุกอาชีพสามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือความเสี่ยงต่าง ๆ มากมายที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ ไม่ใช่แค่เพียงอาชีพที่ทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างเท่านั้น โดยความเสี่ยงของแต่ละสายงานก็จะแตกต่างกันออกไป และถ้าหากเกิดการประมาทเลินเล่อก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิตของตัวเองและบุคคลรอบข้างได้ครับ ดังนั้นจึงมีกฎหมายออกมาปกป้องและป้องกันอุบัติเหตุในการทำงานที่อาจจะเกิดขึ้น 

และวันนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน หรือที่หลายคนเรียกกันว่า หลักการ 3E ว่าจริง ๆ แล้วหมายถึงอะไร และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในที่ทำงานได้อย่างไร ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยดีกว่าครับ ว่าการป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอนมีอะไรบ้าง 

การป้องกันอุบัติภัย 3E ขั้นตอน คือ 

การป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน หรือ หลักการ 3E คือ หลักการที่ใช้เพิ่มความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ปัจจัยที่จะช่วยให้การป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน มีประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากทุกฝ่ายในโรงงาน ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหาร หัวหน้างาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน  

โดยหลักการป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน จะเสริมสร้างความปลอดภัย และ ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดในโรงงาน พร้อมทั้งช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย 

ทำความเข้าใจสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ 

สาเหตุของอุบัติเหตุสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้ 

1. อุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่น 

  • ความประมาทเลินเล่อ
  • ไม่ปฏิบัติตามกฎและมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้
  • นิสัยที่ความชอบเสี่ยง 
  • การปฏิบัติงานที่ไม่ถูกตามขั้นตอน 
  • การปฏิบัติงานโดยไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย 
  • การแต่งกายไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน
  • การปฏิบัติงานโดยที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่ปกติ เช่น เจ็บแขน ปวดขา หรือ ไม่สบาย เป็นต้น 

2. อุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่น 

  • การวางผังโรงงานที่ไม่ถูกต้อง 
  • การวางอุปกรณ์และสิ่งของไม่เป็นระเบียบ 
  • อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรชำรุด แต่ฝืนใช้งาน 
  • ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด 
  • สภาพสถานที่ไม่เหมาะกับการทำงาน เช่น พื้นของโรงงานมีเศษวัสดุแหลมคม มีน้ำ หรือ น้ำมันบนพื้น 
  • บริเวณที่อาจจะเกิดการพลัดตกจากที่สูง แต่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอันตราย 

ดังนั้นแล้วเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม จึงจำเป็นต้องมีการนำหลักการป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอนมาปรับใช้กับการงานทำนั่นเองครับ

ปัจจัยที่ต้องใช้พิจารณาในการรักษาความปลอดภัยในที่ทำงาน 

เรามาดูกันดีกว่าครับ ว่าการป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน มีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องใช้พิจารณาเพื่อรักษาความปลอดภัยในที่ทำงาน 

1. Engineering 

E แรก คือ การใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ หมายถึง ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่จำเป็นต้องนำมาใช้ในการทำงานและการคำนวณต่าง ๆ เช่น การคำนวณน้ำหนักวัตถุที่ใช้ปั้นจั่นยก การติดตั้งเครื่องจักรในพื้นที่สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม รวมไปถึงการคำนวณระบบไฟฟ้า ระดับแสงสว่าง ระดับเสียง และการระบายอากาศที่เหมาะสมในโรงงาน 

2. Enforcement 

E ที่สอง คือ การออกกฎและข้อบังคับ หมายถึง การกำหนดมาตรการ ข้อบังคับ กฎระเบียบ และวิธีปฏิบัติงานที่ถูกต้องและปลอดภัยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตาม ทั้งนี้ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ได้กำหนดไว้ จำเป็นต้องมีบทลงโทษเพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของมาตรการและกฎที่ตั้งเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และเพื่อไม่ให้มีการลอกเลียนแบบ

3. Education 

E สุดท้าย คือ การจัดอบรมและการให้ความรู้ หมายถึง นายจ้างต้องมีการจัดฝึกอบรมและให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานอย่างปลอดภัยให้กับพนักงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้างาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยถือว่าการจัดอบรมเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงาน พร้อมทั้งช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่  

ทั้งนี้ทุกคนสามารถนำหลักการป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการทำงานของคุณได้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และ ยังถือว่าเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยในที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงอีกด้วยครับ

สรุป 

ผมจึงขอสรุปสั้น ๆ ว่า การป้องกันอุบัติภัย 3 ขั้นตอน จำเป็นต้องทำควบคู่กันไปและให้ความสำคัญในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น ขั้นตอนที่ 1 การใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์เพื่อวางแผนและคำนวณ ขั้นตอนที่ 2 การออกกฎ ข้อบังคับ และวิธีปฏิบัติงานที่รัดกุมเพื่อความปลอดความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม และขั้นตอนที่ 3 การให้รู้จัดอบรมความปลอดภัยในที่ทำงาน จึงจะช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นและช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด 

สุดท้ายนี้ใครที่ไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย