เข้าใจระบบบริหารงานคุณภาพ และวิธีได้รับการรับรอง ISO 9001

เข้าใจระบบบริหารงานคุณภาพ และวิธีได้รับการรับรอง มาตรฐาน ISO 9001

หากใครที่กำลังทำงานในองค์กร หรือเป็นเจ้าของธุรกิจเองก็ต้องอยากให้องค์กรของตนเองเติบโต เป็นที่น่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า แน่นอนว่าเราก็ต้องหาวิธีที่จะผลักดันให้องค์กรพร้อมที่จะแข็งขันกับท้องตลาดได้ สำหรับใครที่กำลังเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือกำลังประกอบในสายอาชีพใดก็ตาม ต้องไม่พลาดที่จะทำความรู้จักกับมาตรฐาน ISO 9001 ที่จะช่วยให้องค์กรของคุณกลายเป็นที่ยอมรับในมาตรฐานสากล 

ซึ่งในบทความนี้เราจะพามาเข้าใจระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 รวมถึงบอกวิธีได้รับการรับรอง ISO 9001 เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงองค์กรให้ดียิ่งขึ้น ถ้าอยากรู้แล้วตามมาอ่านกันได้เลย

มาตรฐาน ISO 9001 คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

ISO 9001 คือ มาตรฐานการจัดการระบบบริหารคุณภาพ (Quality Management System: QMS) เป็นที่ยอมรับในระดับมาตรฐานสากลและองค์กรทั่วโลก ทุกองค์กรสามารถนำ ISO 9001 ไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ องค์กรภาคผลิต หรือภาคบริการ 

ซึ่งมาตรฐาน ISO 9001 จัดอยู่ในกลุ่ม ISO 9000 โดยจะมีความเกี่ยวข้องในส่วนของคุณภาพการจัดการ การบริการ การผลิต การบริหารภายในองค์กร หากนำมาตรฐานนี้มาช่วยพัฒนากับองค์กรของตนเอง ก็สามารถผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ เนื่องจากมาตรฐาน ISO 9001 นี้จะต้องมีการตรวจสอบและควบคุม ถึงจะได้รับการยอมรับและเครื่องหมายมาตรฐาน ISO 9001

หลักการของ ISO 9001 

เพื่อให้องค์กรมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น จึงได้เกิดหลักการของ ISO 9001 หรือการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ ทั้ง 7 ประการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer Focus)

ISO 9001 จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เข้าใจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อองค์กร  

  1. มีความเป็นผู้นำ (Leadership)

หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ หรือดูแลบริหารองค์กร การที่มีวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ที่กว้างไกล ชัดเจนเกี่ยวกับกิจการ หรือองค์กรของคุณ จะช่วยให้บุคลากรภายในองค์มีเป้าหมายร่วมกัน ทำงานเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน

  1. การมีส่วนร่วมของบุคลากรในองค์กร (Engagement of People)

นอกจากทีมผู้บริหารแล้ว บุคลากรในองค์กรควรมีส่วนร่วมช่วยในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ แบ่งปันความรู้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพด้วย

  1. การบริหารอย่างเป็นระบบ (Process Approach)

การที่องค์กรบริหารงานอย่างเป็นระบบด้วยหลักการ Plan Do Check Act หรือ PDCA ของ ISO 9001 จะช่วยเสริมให้ภายในองค์กรของคุณสามารถจัดวางระบบกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลักดันให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ง่ายขึ้น

  1. ปรับปรุง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Improvement)

การปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่องควรเป็นวัตถุประสงค์หนึ่งที่สำคัญสำหรับทุกองค์กร หากคุณสามารถระบุและแก้ไขในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดได้ นั่นหมายความว่าองค์กรคุณสามารถหาวิธีแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาให้องค์กรมีคุณภาพ แข็งแรงมากขึ้น

  1. ตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (Evidence-Based Decision Making)

ในปัจจุบันที่ข้อมูลมาจากหลายแหล่ง หลายประเภท การวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ให้แน่ใจก่อนจะทำการตัดสินใจใด ๆ 

  1. รักษาความสัมพันธ์ (Relationship Management)

แน่นอนว่าการแข่งขันในท้องตลาด ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กร อย่างเช่น ซัพพลายเออร์ จะเป็นข้อได้เปรียบของหลาย ๆ องค์กร ดังนั้นเราจึงควรสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน สร้างความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อประโยชน์ร่วมกันในอนาคต

หลักการของ ISO 9001 ความสำคัญ และวิธีการได้รับ

วิธีได้รับการรับรอง ISO 9001 ต้องทำอย่างไรบ้าง

การจะได้รับการรับรอง ISO 9001 สามารถปฏิบัติได้ตามวิธีดังต่อไปนี้

  1. หาผู้ตรวจประเมินรับรองระบบที่ได้มาตรฐาน (Certification Body: CB)

เมื่อเริ่มขั้นตอนการทำ ISO 9001 คือเราจะต้องหาผู้ตรวจประเมินรับรองระบบที่ได้มาตรฐานที่เหมาะสมก่อน โดยจะเรียกกันว่า Certification Body หรือ CB มีความเป็นมืออาชีพ รอบรู้ด้านข้อมูลการประเมิน

  1. จัดหาผู้ช่วยจัดทำระบบให้มีมาตรฐาน

ในขั้นตอนต่อมาจะต้องจัดหาผู้ช่วยจัดทำระบบให้มีมาตรฐาน สามารถดูแลจัดทำระบบ จัดอบรมพัฒนาหลักสูตรมาตรฐาน ISO 9001 และด้านอื่น ๆ เพื่อช่วยพัฒนาให้บุคลากรในองค์กรเกิดประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากลยอมรับ

  1. เข้ารับการตรวจและประเมินครั้งที่ 1

เมื่อถึงวันเข้ารับการตรวจและประเมินครั้งที่ 1 จะเป็นการตรวจสอบแบบตรงไปตรงมา พร้อมให้คำแนะนำในส่วนที่ยังขาดตกบกพร่องหรือมีปัญหา เพื่อให้องค์กรนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข และสอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 9001 มากขึ้น

  1. เข้ารับการตรวจและประเมินครั้งที่ 2

ในขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจประเมินครั้งที่ 2 หรือขอ ISO 9001 คือเราจะต้องยื่นเอกสารเพื่อรับการตรวจประเมินอีกครั้ง พร้อมแสดงให้เห็นว่าสามารถนำข้อแก้ไขไปปรับปรุงให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 9001 อย่างสมบูรณ์แล้ว หากทุกอย่างถูกปรับภายใต้ข้อกำหนดของ ISO 9001 แล้วก็จะผ่านการรับรอง และเพื่อให้แน่ใจว่าจะยังคงอยู่ในมาตรฐาน ISO 9001 อย่างสม่ำเสมอ องค์กรของคุณก็จะต้องได้รับการตรวจประเมินเป็นประจำทุกปีนั่นเอง

ISO 9001 มีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร 

การควบคุมคุณภาพถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะนำองค์กร หรือธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ หากต้องการให้องค์กรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพของสินค้าหรือบริการ การทำ ISO 9001 จึงมีประโยชน์ต่อองค์กร รวมถึงบุคลากรภายในองค์กร ดังนี้ 

  • ลูกค้า หรือผู้อุปโภค บริโภค มีความมั่นใจในสินค้าหรือบริการขององค์กร 
  • องค์กรมีความน่าเชื่อถือ เพราะมีระบบการจัดการที่ได้มาตรฐานระดับสากล สามารถเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในท้องตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรขนาดเล็ก หรือธุรกิจ SME 
  • ลดความผิดพลาดในเรื่องของระบบการทำงานภายในองค์กร เสริมสร้างกลยุทธ์ให้องค์กรบรรลุตามเป้าหมาย เนื่องจากข้อกำหนดของ ISO 9001 จะเป็นการเน้นไปที่การปรับปรุงขององค์กรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังกำหนดให้ดำเนินการจัดการความเสี่ยงขององค์กร 
  • องค์กรให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของลูกค้ามากขึ้น เพื่อนำมาวิเคราะห์ ปรับปรุง พัฒนาองค์กรให้ตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้า
  • เสริมสร้างให้บุคลากรภายในองค์ตระหนัก และมีส่วนร่วมในการทำงานอย่างมีระบบ มีการทำงานเป็นทีม เสริมสร้างให้มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป 

ISO 9001 คือระบบบริหารงานคุณภาพที่ทุกองค์กรไม่ว่าจะในสายไหน ควรเข้ารับการประเมิน ISO 9001 เพื่อผลักดันให้องค์กรรวมถึงบุคลากรเติบโตอย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน สามารถแข็งขันในท้องตลาดได้ ลูกค้ามีความพึงพอใจและมีความเชื่อมั่นในตัวองค์กร 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จักป้ายสัญลักษณ์ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง

สำหรับคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง “สัญลักษณ์ความปลอดภัย” เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ว่าสัญลักษณ์ความปลอดภัยแต่ละแบบ แต่ละสีหมายถึงอะไร เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ปฏิบัติงานเองและคนที่อยู่รอบ ๆ บทความนี้ผมจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์ความปลอดภัยในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ควรรู้ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยดีกว่าครับ ว่ามีสัญลักษณ์ความปลอดภัยอะไรบ้าง 

ทำความรู้จักกับสีและสัญลักษณ์ความปลอดภัย 

สีและสัญลักษณ์ความปลอดภัย คือ สิ่งที่จะคอยบอกสถานะด้านต่าง ๆ ที่มักมาในรูปแบบป้ายเตือน เพื่อให้คนที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น ๆ ระมัดระวังมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ของป้ายความปลอดภัยมักจะเป็นสัญลักษณ์ สี และข้อความสั้น ๆ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นป้ายสามารถเข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อสารได้ทันที การมีป้ายเตือน หรือ สัญลักษณ์ความปลอดภัยตามจุดต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดอันตรายทำให้สามารถช่วยลดอุบัติเหตุและเหตุการณ์ไม่คาดฝันลงได้ 

ส่วนใหญ่มักจะพบเห็นสัญลักษณ์ความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ หรือ อันตรายใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล เขตก่อสร้าง ห้องควบคุมไฟฟ้า ห้องเก็บสารเคมี พื้นที่อับอากาศ หรือ บนท้องถนน เป็นต้น 

สัญลักษณ์ความปลอดภัย

ประเภทของสัญลักษณ์ความปลอดภัย

ในปัจจุบันประเภทจองสัญลักษณ์ความปลอดภัย สามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 

  1. สัญลักษณ์ห้าม สัญลักษณ์ความปลอดภัยประเภทห้าม มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและหยุดยั้งพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งมักจะมาในรูปแบบป้ายเตือนที่มีวงกลมแถบสีแดงและมีเส้นทแยงมุม 45 องศา 
  2. สัญลักษณ์เตือน สัญลักษณ์ความปลอดภัยประเภทเตือน มีวัตถุประสงค์เพื่อเตือนเกี่ยวกับอันตรายในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งมักจะมาในรูปแบบป้ายเตือนที่มีสามเหลี่ยมสีเหลืองและข้อความสั้น ๆ สีดำ
  3. สัญลักษณ์บังคับ สัญลักษณ์ความปลอดภัยประเภทบังคับ มีวัตถุประสงค์เพื่อทุกคนปฏิบัติตามข้อบังคับ หรือ กฎหมายที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น ซึ่งมักจะมาในรูปป้ายเตือนสีฟ้า 
  4. สัญลักษณ์ฉุกเฉิน สัญลักษณ์ความปลอดภัยประเภทฉุกเฉิน มักจะเป็นสัญลักษณ์หรือข้อความต่าง ๆ ที่เข้าใจได้ง่าย เช่น ทางออกฉุกเฉิน จุดรวมพล หรือ จุดปฐมพยาบาล เป็นต้น ซึ่งมักจะมาในรูปแบบป้ายเตือนสีเขียวและสัญลักษณ์ความปลอดภัยสีขาว 

ประโยชน์ของสัญลักษณ์ความปลอดภัย 

ในแวดวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างเรา ๆ รู้กันดีใช่ไหมครับ ว่างานที่ทำอยู่ในทุก ๆ วันมีความเสี่ยงและสามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ ถ้าหากเกิดความประมาทแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งการมีสัญลักษณ์ความปลอดภัยถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการเตรียมความพร้อมรับมือและลดอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในที่งานนั่นเองครับ นอกจากนี้การใช้สัญลักษณ์ความปลอดภัยยังสามารถให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องและคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเข้าใจความหมายได้อย่างตรงกัน เพื่อระมัดระวังและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายทั้งกับตนเองและผู้อื่นด้วยครับ 

มาตรฐานสัญลักษณ์ความปลอดภัย 

หลังจากที่เข้าใจความหมายของสี ประโยชน์ และสัญลักษณ์ความปลอดภัยแล้ว ทีนี้ผมอยากให้ทุกคนมาทำความรู้จักกับมาตรฐานสัญลักษณ์ความปลอดภัยในระดับสากลกันบ้างครับ 

1. มอก. 635-2554

หลายคนน่าจะคุ้นหู หรือเคยได้ยินคำว่า มอก. กันมาบ้าง โดย มอก. 635-2554 เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สี และ เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย ซึ่งจะกำหนดสีและเครื่องหมายต่าง ๆ เพื่อบอกถึงความปลอดภัย ข้อความระวัง ข้อบังคับ หรือข้อห้ามในที่ทำงาน หรือ พื้นที่สาธารณะ ทั้งนี้ มอก. 635-2554 สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 

  1. เครื่องหมายห้าม
  2. เครื่องหมายบังคับ
  3. เครื่องหมายเตือน
  4. เครื่องหมายแสดงสภาวะปลอดภัย
  5. เครื่องหมายแสดงอุปกรณ์เกี่ยวกับอัคคีภัย 

2. มาตรฐาน ISO 3864

ISO 3864 เป็นมาตรฐานสากลที่หลายประเทศใช้กัน เพื่อความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน และ พื้นที่สาธารณะ มักมาในรูปแบบป้ายเตือนหรือสัญลักษณ์ความปลอดภัยกราฟิกต่าง ๆ เพื่อให้ผู้พบเห็นสามารถเข้าใจได้ทันที โดยมาตรฐาน ISO 3864 สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 

  1. ISO 3864-1:2011 ส่วนที่ 1 คือ หลักการออกแบบป้ายความปลอดภัย และ ความปลอดภัย 
  2. ISO 3864-2:2016 ส่วนที่ 2 คือ หลักการออกแบบฉลากความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ 
  3. ISO 3864-3:2012 ส่วนที่ 3 คือ หลักการออกแบบสัญลักษณ์กราฟิกที่ใช้ในป้ายเตือนต่าง ๆ 
  4. ISO 3864-4:2011 ส่วนที่ 4 คือ คุณสมบัติสี และ โฟโตเมตริกของวัสดุป้ายความปลอดภัย 

3. มาตรฐาน ANSI Z353 

มาตรฐาน ANSI (American National Strandard Institute) เป็นมาตรฐานความปลอดภัยในที่ทำงานกำหนดโดยสถาบันมาตรฐานแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นองค์กรอิสระ โดยมาตรฐาน ANSI เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดยได้กำหนดมาตรฐานสัญลักษณ์ความปลอดภัยที่สามารถเข้าใจได้ง่ายไว้ทั้งหมด 6 มาตรฐาน ได้แก่ 

  1. สีแดง หมายถึง อันตราย สถานการณ์ฉุกเฉิน รวมไปถึงวัตถุไวไฟ 
  2. สีส้ม หมายถึง การเตือน บอกสถานะของเครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่กำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติงาน 
  3. สีเหลือง หมายถึง การแจ้งเตือนเมื่อเกิดอันตรายทางกายภาพ 
  4. สีฟ้า หมายถึง สิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย 
  5. สีเขียว หมายถึง การปฐมพยาบาล และ ความปลอดภัยต่าง ๆ 
  6. สีม่วง หมายถึง กำหนดการใช้งานได้ตามสะดวกในสถานที่ของตนเอง 

สรุป

สัญลักษณ์ความปลอดภัย คือ ข้อความ สี หรือ สัญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงข้อห้าม ข้อควรระวัง และอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยสัญลักษณ์ความปลอดภัยเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องมีและจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพื่อป้องกันและลดอันตรายที่อาจจะเกิดระหว่างปฏิบัติงาน ซึ่งทุกคนควรปฏิบัติตามสัญลักษณ์ความปลอดภัยอย่างเคร่งครัน 

และสำหรับใครที่ไม่อยากพลาดสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จัก PPE 8 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ตัวช่วยเสริมความปลอดภัยไซต์ก่อสร้าง

รู้จัก PPE 8 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ตัวช่วยเสริมความปลอดภัยไซต์ก่อสร้าง

เมื่อต้องทำงานในสายอาชีพที่อาจเจอกับอันตรายจากสถานที่ทำงานในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น ของมีคม เครื่องจักรกล การกระเด็นของพวกโลหะ รังสี สารเคมี กระแสไฟฟ้า เป็นต้น การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “PPE” จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่ทำงานในสายอาชีพเหล่านี้ 

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ 8 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล กันให้มากขึ้นว่ามีอะไรบ้าง ทำไมจำเป็นถึงต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล 

ทำความรู้จักอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE คืออะไร

อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล คือ อุปกรณ์ที่เอาไว้สวมใส่เพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยจากสถานที่ทำงาน ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพ ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสสารเคมี กระแสไฟฟ้า รังสี เครื่องกล หรืออันตรายอื่น ๆ มีชื่อเต็มว่า Personal Protective Equipment หรือตัวย่อที่คุ้นหู “PPE” นั่นเอง

ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่สวมใส่ต้องได้รับการออกแบบที่ได้คุณภาพ ปลอดภัย ผ่านมาตรฐาน และควรได้รับการดูแลรักษาที่สะอาด นอกจากนี้การสวมใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลควรพอดีกับตัวผู้สวมใส่ ไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป

อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

ทำไมต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายอาชีพอุตสาหกรรมการก่อสร้าง จะช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ต่อร่างกายและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานได้ เพราะถึงแม้ว่าจะระมัดระวังตัวเองแค่ไหนก็อาจเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดได้เสมอ

1. ช่วยป้องกันการบาดเจ็บต่อร่างกายและอันตรายต่อสุขภาพ

แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญอันดับแรกของการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล คือ ช่วยป้องกันการบาดเจ็บต่อร่างกาย และป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อตัวคุณเอง จึงควรสวมใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลตามนโยบายด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บของตัวคุณเองอีกด้วย โดยนายจ้างหรือบริษัทจะเป็นผู้คุ้มครองหรือรับผิดชอบในส่วนนี้เอง 

2. ช่วยป้องกันโรคภัยระยะยาวที่อาจสั่งสมจากการทำงา

การสวมใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลยังสำคัญมาก สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพในสายอุตสาหกรรมที่เสี่ยงสัมผัสอยู่กับสารเคมี รังสี น้ำมัน สารระเหย หรือสารประกอบต่าง ๆ ที่สามารถสั่งสมในร่างกายและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพคุณในระยะยาวได้ 

3. สามารถเสริมคุณภาพให้กับงานที่ทำ

เมื่อคุณได้สวมใส่ชุด PPE หรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลขณะปฏิบัติงาน จะช่วยเสริมให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เนื่องจากคุณจะรู้สึกว่ามีความปลอดภัยมากขึ้น ช่วยลดอาการบาดเจ็บหรืออันตรายได้

8 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE มาตรฐานมีอะไรบ้าง

8 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE มาตรฐานมีอะไรบ้าง

อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE มาตรฐานนั้นจะมีด้วยกันทั้งหมด 8 ชิ้น จะมีอะไรบ้าง แต่ละประเภทใช้งานต่างกันอย่างไร สามารถอ่านรายละเอียดดังนี้

  1. หมวกนิรภัยป้องกันศีรษะ (Head Protection)

อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลชนิดหมวกนิรภัยป้องกันศีรษะ เป็นอุปกรณ์ PPE พื้นฐานที่ช่วยป้องกันของแข็งตกกระแทกใส่ศีรษะ ส่วนใหญ่แล้วหมวกนิรภัยมักทำมาจากพลาสติกแข็ง ใยแก้วหรือไฟเบอร์กลาส หรือโลหะ เป็นต้น และจำเป็นจะต้องมีสายรัดคางที่สามารถปรับระดับให้พอดีกับศีรษะผู้ปฏิบัติงาน

  1. แว่น หรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้า (Eye and Face Protection)

การสวมใส่แว่น หรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้าที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ จะช่วยลดความเสี่ยงได้รับอันตรายจากการปฏิบัติงานได้ เช่น มีเศษวัสดุกระเด็นเข้าตา แสงเซอร์ หรือสารเคมีต่าง ๆ กระเด็นเข้าตา ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลประเภทแว่น สามารถแบ่งออกตามการใช้งานได้เป็น 4 ประเภทหลัก คือ 

2.1 แว่นตานิรภัยทั่วไป เป็นแว่นตาที่มีระดับการป้องกันต่ำ แนะนำให้ใช้กับสารเคมีที่ไม่ทำลายดวงตาเท่านั้น 

2.2 แว่นตากันสารเคมี เป็นแว่นตาที่ป้องกันสารเคมีต่าง ๆ กระเด็นเข้าตา ควรพิจารณาเลือกซื้อตามที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมแนะนำ

2.3 แว่นตานิรภัยแบบกันแสงเลเซอร์ เลนส์แว่นจะช่วยป้องกันแสงเลเซอร์กระทบที่ดวงตา

2.4 แว่นตากันกระแทก เป็นแว่นตาที่ช่วยป้องกันเศษชิ้นส่วนที่มีโอกาสกระเด็นเข้าตา

  1. ที่อุดหูป้องกันระบบการได้ยิน

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานในสถานที่มีสภาพแวดล้อมเสียงดังอยู่ตลอดเวลามากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือมีค่าเสียงที่ดังเกินกว่ามาตรฐานกำหนด จำเป็นจะต้องใช้เครื่องป้องกันเสียงโดยเฉพาะ หรือที่อุดหู เพราะอาจเกิดอันตรายต่อแก้วหูและกระดูกหูได้

  1. ถุงมือ หรืออุปกรณ์ป้องกันมือ (Hand Protection)

การเลือกถุงมือป้องกันสารเคมีต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ผู้ปฏิบัติงานควรเลือกใช้ประเภทถุงมือให้เหมาะกับการทำงาน เช่น ถุงมือยางไนไตรแบบใช้แล้วใช้แล้วทิ้ง เหมาะกับงานที่อาจสัมผัสกับสารเคมีอันตราย หรือถุงมือฉนวนชนิดทนความร้อน เหมาะสำหรับการทำงานกับอุปกรณ์ที่มีความร้อน อย่างเปลวไฟ อ่างน้ำมัน เป็นต้น

นอกจากนี้ควรเปลี่ยนถุงมือเป็นระยะ ๆ เพราะอาจมีการเสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน และเพื่อให้มั่นใจว่ามีประสิทธิภาพการป้องกันอย่างเพียงพอ

  1. ชุดอุปกรณ์ป้องกันร่างกาย (Body Protection)

ชุด PPE หรือชุดอุปกรณ์ป้องกันร่างกายมีให้เลือกหลากหลายแบบตามความเหมาะสมของการปฏิบัติงาน เช่น 

  • ชุด Traditional ชุดแบบดั้งเดิมใช้สำหรับปกป้องผิวหนังจากสิ่งสกปรก หรือสารเคมีที่ไม่เป็นอันตราย 
  • ชุด Flame Resistant ชุดป้องกันการติดไฟ สามารถใช้ทำงานกับสารเคมีที่อาจระเบิด หรือสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากับอากาศและน้ำได้
  1. อุปกรณ์ป้องกันเท้า

ผู้ที่จำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อันตราย อย่างไซต์ก่อสร้าง พื้นที่เกี่ยวกับไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลประเภทรองเท้าเซฟตี้ จะช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับนิ้วเท้า ข้อเท้าเราได้ รวมถึงช่วยลดการกระแทกอีกด้วย

  1. หน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Protection)

การเลือกใช้หน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจ มักจะถูกใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ใช้จึงจำเป็นจะต้องผ่านการอบรมรายบุคคลและประเมินโดยหน่วยงานที่ดูแลด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย 

สำหรับหน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจมีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม เช่น หน้ากากชนิด N-95 ใช้ป้องกันฝุ่น ควัน หรือละอองต่าง ๆ , หน้ากากครึ่งหน้า ช่วยในการฟอกอากาศ ป้องกันอนุภาคต่าง ๆ และหน้ากากแบบเต็มใบหน้า จะช่วยป้องกันได้มากกว่าหน้ากากครึ่งหน้า สามารถใช้ในสถานที่ที่มีโรคติดต่อผ่านทางอากาศได้

  1. อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง (Falling Protection Equipment)

อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูงอย่างเข็มขัดนิรภัย จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่สูง เสี่ยงอันตรายจากการพลัดตก อย่างเช่น งานเช็ดกระจกบนตึกอาคาร งานช่างไฟ เป็นต้น ซึ่งก่อนจะสวมใส่เข็มขัดนิรภัยจำเป็นจะต้องตรวจเช็กให้ละเอียดถี่ถ้วน ทั้งตัวล็อก สายรัดลำตัว จุดยึด ต่าง ๆ 

สรุป

อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นมาก ๆ ในสายงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเกิดอันตราย เพราะสามารถช่วยป้องกันอันตรายที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดกับร่างกายและสุขภาพของคุณได้ 

และสำหรับใครที่ไม่อยากพลาดสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

ความสำคัญของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน

ความสำคัญของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน

สำหรับผู้ที่ทำงานอยู่ในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างคงไม่มีใครไม่รู้จักกับ หมวกนิรภัย ที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์เซฟตี้ส่วนบุคคล เพราะหมวกนิรภัยเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เซฟตี้ที่สำคัญที่สามารถช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี วันนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับประเภทของหมวกนิรภัย วิธีการใช้หมวกนิรภัยที่ถูกต้อง พร้อมทั้งวิธีการดูแลรักษ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยดีกว่าครับ 

หมวกนิรภัย หรือหมวกเซฟตี้ สำคัญอย่างไรต่องานก่อสร้าง 

หมวกนิรภัย หรือที่หลายคนเรียกว่า หมวกเซฟตี้ เป็นหนึ่งในอุปกรณ์เซฟตี้ส่วนบุคคลที่ใช้สำหรับปกป้องอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับศีรษะ เช่น สิ่งของหล่นกระแทกศีรษะ หรือ ลื่นล้มแล้วศีรษะไปกระแทกกับพื้น ซึ่งคุณสมบัติของหมวกนิรภัยนอกจากจะต้องมีความแข็งแรงและทนทานต่อแรงกระแทกแล้ว จำเป็นที่จะต้องสามารถป้องกันการเจาะทะลุ และสามารถกันไฟฟ้าได้อีกด้วย 

โดยหมวกนิรภัยเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายจากสิ่งของและวัตถุต่าง ๆ หล่นใส่ศีรษะ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานจำเป็นที่จะต้องสวมใส่หมวกนิรภัยตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานตามข้อบังคับและกฎที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น 

หมวกนิรภัย

ประเภทของหมวกนิรภัย 

ประเภทของหมวกนิรภัยสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะของหมวกและการใช้งาน ดังนี้ 

  1. หมวกนิรภัยที่มีปีกรอบ หมวกนิรภัยประเภทนี้จะมีขอบหมวกยื่นออกมารอบตัวหมวก ช่วยสามารถป้องกันอันตรายได้จากทุกทิศทาง โดยหมวกนิรภัยที่มีปีกรอบจะเหมาะกับที่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับสายไฟ ไฟฟ้า หรือ ช่างไฟฟ้า 
  2. หมวกนิรภัยที่มีกระบังด้านหน้า หมวกนิรภัยประเภทนี้จะมีปีกเฉพาะบริเวณด้านหน้า ด้านข้าของตัวหมวกอาจจะเป็นขอบนูนก็ได้ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบปรับเลื่อน ปรับหมุน หรือแบบรองใน สำหรับหมวกนิรภัยที่มีกระบังด้านหน้าเหมาะกับผู้ที่ปฏิบัติงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง 

การทดสอบคุณสมบัติของหมวกนิรภัย 

หมวกนิรภัยจำเป็นต้องได้รับมาตรฐาน มอก.368-2554 โดยผ่านการทดสอบจากสถาบันที่เชื่อได้ ซึ่งการทดสอบคุณสมบัติของหมวกนิรภัยมีทั้งหมด ดังนี้ 

  1. เปลือกของหมวกนิรภัยต้องไม่มีรอยแตกร้าว ผิวเปลือกหมวกต้องเกลี้ยง ไม่มีเสี้ยน ส้น หรือแหลมคม 
  2. หมวกนิรภัยต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 440 กรัม 
  3. แรงส่งผ่านสูงสุดในแต่ละใบต้องไม่เกิน 4,450 นิวตัน และ แรงส่งผ่านเฉลี่ยต้องไม่เกิน 3,780 นิวตัน
  4. หมวกนิรภัยต้องไม่ลุกติดไฟ หรือ ในกรณีที่หมวกนิรภัยลุกติดไฟต้องสามารถดับได้เองภายใน 5 วินาที 
  5. หมวกนิรภัยต้องสามารถป้องกันการเจาะละทุได้ 
  6. สายรัดคางต้องมีความกว้างไม่ร้อยกว่า 13 มิลลิเมตร 
  7. สายรัดศีรษะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 13 มิลลิเมตร และต้องสามารถปรับได้ 
การทดสอบ หมวกนิรภัย

ข้อแนะนำในการใช้หมวกนิรภัย 

  1. ก่อนใช้งานหมวกนิรภัยจำเป็นต้องมีการตรวจเช็กสภาพทุกครั้ง เพื่อดูว่าหมวกนิรภัยอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ 
  2. ห้ามนำหมวกนิรภัยที่ชำรุด หรือ อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมใช้งานมาใช้โดยเด็ดขาด 
  3. พลาสติก ABS จะมีอายุการใช้งานสูงกว่าพลาสติกชนิดอื่น ๆ ที่นำมาผลิตหมวกนิรภัย 
  4. ชิ้นส่วนของหมวกนิรภัย ไม่ว่าจะเป็น สายรัดศีรษะ สายรัดค้าง แถบซับเหงื่อ หรือ รองใน ควรเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 6 – 12 เดือน เพื่อความปลอดภัย และสุขอนามัยที่ดีของผู้ใช้งานทุกคน 

วิธีดูแลหมวกนิรภัย 

วิธีการดูแลหมวกนิรภัยเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ผู้ปฏิบัติงานควรใส่ใจ เพราะการดูแลและเก็บรักษาที่ถูกวิธีที่สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของหมวกนิรภัยได้ครับ ซึ่งวิธีดูแลหมวกนิรภัยที่ถูกวิธี ได้แก่ 

  1. หลังจากที่ใช้งานหมวกนิรภัยเสร็จแล้ว ควรนำมาทำความสะอาดสามารถใช้น้ำสบู่ หรือ น้ำยาฆ่าเชื้อโรค เพื่อทำความสะอาด โดยแนะนำให้ทำความสะอาดหมวกนิรภัยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2- 3 ครั้ง หรือ ทุกวัน เฉพาะบริเวณแถบซับเหงื่อ เพื่อสุขอนาภัยที่ดี 
  2. หลีกเลี่ยงการนำหมวกนิรภัยไว้กลางแดด หรือ ที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพราะอาจจะทำให้วัสดุพลาสติกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นอกจากนี้แสงแดด และ อุณหภูมิที่สูงจนเกินไปยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของหมวกนิรภัยอีกด้วย
  3. ห้ามนำหมวกนิรภัยที่มีรอยแตกร้าวมาใช้งาน เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันและลดความรุนแรงจากอันตรายที่อาจจะเกิดจะลดลง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้สวมใส่ 
  4. ห้ามโยนหมวกนิรภัยลงจากที่สูงเพราะอาจจะทำให้หมวกนิรภัยเกิดรอยร้าว หรือ แตกหักได้ 
  5. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือ สารละลาย ทำความสะอาดหมวกนิรภัย เพราะอาจจะทำให้พื้นเปลือกหมวกนิรภัยเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ 

สรุป

หมวกนิรภัยถือเป็นอุปกรณ์เซฟตี้ส่วนบุคคลที่สำคัญอย่างหนึ่งในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งประโยชน์ของหมวกนิรภัยหมวก ได้แก่ การป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และ การลดความรุนแรงจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน โดยคุณควรเลือกหมวกนิรภัยที่เหมาะสมกับงานที่จะทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งาน  นอกจากนี้อย่าลืมถึงความสำคัญของการดูแลและจัดเก็บหมวกนิรภัยที่ถูกวิธี เพื่อยืดอายุการใช้งานอีกด้วย 

และสำหรับใครที่ไม่อยากพลาดสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จัก KYT มือชี้-ปากย้ำ ช่วยลดอุบัติเหตุการทำงาน

รู้จัก KYT มือชี้-ปากย้ำ ช่วยลดอุบัติเหตุการทำงาน

“อุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์” หรือ  แนวคิด KYT คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับการทำงาน ? เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่หัวหน้างาน ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่มีความเกี่ยวข้องจำเป็นต้องให้ความสำคัญ ไม่สามารถละเลยได้ การที่ที่ทำงานมีความปลอดภัยจะช่วยสร้างความอุ่นใจและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้พนักงานทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ 

วันนี้ผมจึงจะพาทุกคนมารู้จักกับแนวคิด KYT ว่าคืออะไร พร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนการทำ KYT ที่จะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานให้น้อยลง หรือ อันตรายในที่ทำงานเหลือศูนย์ ถ้าหากพร้อมแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่าครับ ว่า KYT คืออะไรกันแน่ 

KYT คืออะไร ช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร

ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ค่อยคุ้นชินกับแนวคิด KYT กันมากนัก โดยแนวคิด KYT  คือ เทคนิคเชิงจิตวิทยาจากประเทศญี่ปุ่น ที่จะนำเอาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เกี่ยวข้อง หรือ อาจจะก่อให้เกิดอันตรายระหว่างปฏิบัติงาน ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การหาวิธีป้องกันที่ช่วยลด หลีกเลี่ยง และขจัดอุบัติเหตุให้เหลือน้อยมากที่สุด หรือ อุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์ ตามศาสตร์แนวคิด KYT 

KYT เป็นตัวย่อจากภาษาญี่ปุ่น โดยความหมายของ KYT คือ  

  • K มาจากคำว่า Kiken ที่หมายถึง อันตราย
  • Y มาจากคำว่า Yoshi ที่หมายถึง การทำความเข้าใจ การวิเคราะห์ หรือ การคาดการณ์ จากปัจจัยโดยรอบ
  • T มาจากคำว่า Trainning ที่หมายถึง การฝึกอบรมจนเป็นนิสัย 
ความสำคัญการทำของ KYT

ความสำคัญการทำของ KYT

หลังจากที่ได้รู้ความของการทำ KYT คืออะไรกันแล้ว ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจความสำคัญ หรือ ประเด็นหลักในการทำ KYT ดังนี้ 

  1. การทำ KYT เป็นการสร้างนิสัยและปลูกฝังจิตสำนึกในด้านความปลอดภัยให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคน โดยองค์กรจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมและให้ความรู้ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานตระหนักและเข้าใจความสำคัญของความปลอดภัย 
  2. ผู้ปฏิบัติงานต้องคิด พิจารณา และระมัดระวังระหว่างปฏิบัติงานอยู่เสมอ เพื่อให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุเหลือน้อยมากที่สุด โดยจำเป็นต้องคิดถึงแนวทางป้องกันและวิธีแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้าด้วย
  3. ผู้ปฏิบัติงานต้องให้คำมั่นสัญญา หรือ ปฏิญาณตน “อุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์​” ก่อนทำงานทุก 
  4. ผู้ปฏิบัติงานต้องเตือนตัวเองทุกครั้งก่อนเริ่มปฏิบัติงาน และต้องมีการตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ต้องไม่เกิดความประมาทระหว่างปฏิบัติงาน 

ประโยชน์ในการทำ KYT มีอะไรบ้าง

  1. การทำ KYT คือ แนวคิดที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนตระหนักและรับรู้ถึงความสำคัญของความปลอดภัยในที่ทำงาน ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงานลดได้ 
  2. การทำ KYT สามารถช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที 
  3. การทำ KYT สามารถช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงาน พร้อมทั้งยังสร้างความอุ่นใจ ช่วยให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องอุบัติเหตุ 
  4. สามารถช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถคาดการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งสามารถคิดวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 
  5. สามารถทำให้มองเห็นอันตรายที่แอบแฝงอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้งานเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด 
  6. ช่วยสร้างความสามัคคี และความสัมพันธ์ที่ดีของบุคลากรในทีม เพราะการทำ KYT เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความร่วมมือของทุกฝ่าย 
ขั้นตอนในการทำ KYT ให้สำเร็จ

ขั้นตอนในการทำ KYT ให้สำเร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ 

หลังจากที่เข้าใจแนวคิดการทำ KYT แล้ว หลายคนน่าจะสงสัยใช่ไหมครับ ว่าถ้าจากทำ KYT เพื่อความปลอดภัยในที่ทำงานต้องทำยังไง ? ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะการทำ KYT ไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนกังวล โดยขั้นตอนในการทำ KYT ได้แก่

  1. วิเคราะห์ปัจจัยที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายในก่อน ระหว่าง และหลังปฏิบัติงาน
  2. เรียงลำดับความรุนแรงของอันตรายที่อาจจะเกิด หรือ จัดลำดับความสำคัญของอันตราย
  3. กำหนดแนวทางหรือมาตราการป้องกัน ควบคุม แก้ไข และขจัดอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยพยายามให้อัตราการเกิดอันตรายเหลือน้อยที่สุด หรือ อันตรายต้องเป็นศูนย์ ตามแนวคิด KYT 
  4. ตัดสินใจเลือกแนวทางการป้องกันที่ดีที่สุด ทั้งขององค์กร ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

สรุป

การทำ KTY คือ การหาปัจจัยที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายระหว่างที่ปฏิบัติงาน นำมาวิเคราะห์ จัดลำดับความสำคัญ และกำหนดแนวทางป้องกันและควบคุมอันตรายที่อาจจะเกิด เพื่อให้อันตรายในที่ทำงานกลายเป็นศูนย์ ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่จำเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่เป็นอาชีพค่อนข้างเสี่ยงอันตรายแทบจะอยู่ตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน 

สำหรับองค์กร หรือ หน่วยงานไหน ที่อยากลดอัตราการเกิดอันตรายและอุบัติเหตุในที่ทำงานที่เกิดขึ้น ผมแนะนำให้ลองแนวคิด KTY ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรของคุณดู เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานลดลงด้วย 

สุดท้ายนี้ใครที่ไม่อยากพลาดสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จัก JSA ตัวช่วยวิเคราะห์ความปลอดภัย เสริมความอุ่นใจในการทำงาน

รู้จัก JSA ตัวช่วยวิเคราะห์ความปลอดภัย

การทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างมักถูกนับเป็นงานที่ท้าทายและสามารถเกิดอันตรายได้ตลอดเวลา ถ้าหากไม่มีการป้องกันที่รัดกุมมากพอ ซึ่งหลายคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า JSA  แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบใช่ไหมครับ ว่า JSA คืออะไร และมีประโยชน์ต่อการทำงานอย่างไร วันนี้ผมจะมาแนะนำ JSA ตัวช่วย หรือ Tools ที่จะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำงาน ช่วยสร้างความสบายในใจการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งทำให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่า

JSA คืออะไร 

JSA ย่อมาจาก Job Safety Analysis หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานทีละขั้นตอน เพื่อหาต้นตอของอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน โดย JSA เป็น tool ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน หลังจากที่ทราบถึงสาเหตุที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายแล้ว จึงหาแนวทางป้องกัน ลดอัตราการเกิด หลีกเลี่ยง หรือควบคุมอันตรายนั้น ๆ 

โดยองค์กร หรือ หน่วยงานที่มีการทำ JSA อย่างจริงจังพร้อมทั้งนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์จะช่วยให้การทำงานสำเร็จรวดเร็วมากขึ้นและมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้การทำ JSA ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความมั่นใจและความอุ่นใจให้กับผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยครับ 

งานประเภทใด ที่จำเป็นต้องทำ JSA

หลังจากที่ได้รู้แล้วว่า JSA คือ ตัวช่วยที่จะช่วยวิเคราะห์อันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมครับ ว่าแล้วงานประเภทใด งานแบบไหนที่ควรทำ JSA สำหรับการเลือกงานที่ต้องการนำมาวิเคราะห์อันตราย เพื่อทำ JSA ผมแนะนำให้เลือกตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ ได้แก่ 

  1. เป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดอันตรายระหว่างปฏิบัติงาน โดยคุณจำเป็นต้องมีการสำรวจหน้างานด้วยตนเอง 
  2. งานที่มีความถี่ในการเกิดอุบัติงานค่อนข้างสูง โดยสามารถดูได้จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงานย้อนหลังสักประมาณ 2-3 ปี ก็ได้ครับ 
  3. งานใหม่ หรือ งานที่มีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ หรือ เครื่องจักร ที่ใช้ในการทำงาน 
  4. งานที่มีขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก 
  5. งานที่จำเป็นต้องใช้ผู้ปฏิบัติงานเป็นจำนวนมาก 

ตัวอย่างแบบฟอร์มสำหรับการทำ JSA

แบบฟอร์มสำหรับการทำ JSA

ตัวอย่างแบบฟอร์มสำหรับการทำ JSA ขอบคุณภาพจาก SAFESIRI

4 ขั้นตอนการทำ JSA เพื่อสร้างความอุ่นใจในการทำงาน

การทำ JSA เพื่อสร้างความอุ่นใจและความปลอดภัยในการทำงาน สามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ได้ดังนี้ 

  1. ขั้นตอนแรก คือ การเลือกงานที่จำเป็นต้องนำมาวิเคราะห์เพื่อทำ JSA 
  2. ขั้นตอนที่สอง คือ แยกขั้นตอนการทำงานออกมาเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่ามีขั้นตอนใดบ้างที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ โดยการแยกขั้นตอนควรเริ่มด้วยคำกริยา เช่น ยกของ หยิบ เตรียม เป็นต้น 
  3. ขั้นตอนที่สาม คือ การวิเคราะห์อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนการทำงาน ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นต้องใช้ความละเอียดรอบคอบสูง เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หรือ ละเลยสาเหตุที่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ถ้าหากการวิเคราะห์ในขั้นตอนเกิดข้อผิดพลาดจะทำให้อันตรายยังคงแผงอยู่ในขั้นตอนทำงาน 
  4. ขั้นตอนที่สี่ คือ การหาแนวทางการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิด โดยการนำสาเหตุที่ได้จากขั้นตอนที่ 3 มาวิเคราะห์และหาแนวทางการป้องกัน 
ขั้นตอนการทำ JSA เพื่อสร้างความอุ่นใจในการทำงาน

ตำแหน่งใดที่ควรเป็นผู้จัดทำ JSA

การทำ JSA คือ การนำขั้นตอนการทำงานวิเคราะห์เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น ทำให้บางคนคิดว่าการทำ JSA คือหน้าที่ของหัวหน้างาน หรือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วการทำ JSA จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่าย เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความเสี่ยงและหาแนวทางป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นรัดกุมมากที่สุด โดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำ JSA ได้แก่ 

  1. หัวหน้างาน เป็นผู้ที่มีหน้าที่คอยควบคุมดูแลกระบวนและวิธีการทำงานทั้งหมด พร้อมทั้งเป็นผผู้ที่มีความรู้ในหน้างาน จึงจำเป็นอย่างมากในการร่วมวิเคราะห์งานเพื่อสร้างความปลอดภัย
  2. เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน หรือ จป การทำ JSA จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานเข้าร่วมวางแผนและวิเคราะห์ด้วยทุกครั้ง เพราะเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานต้องเป็นผู้กำหนดมาตรป้องกันอันตรายต่าง ๆ 
  3. ผู้ปฏิบัติงาน เพราะผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้ที่รู้ว่าหน้างานเคยเกิดปัญหาอะไรบ้าง จึงเหมาะสมและจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมการวิเคราะหืเพื่อทำ JSA เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในระหว่างปฏิบัติงาน

สรุป

หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้กันแล้ว ผมหวังว่าหลายคนน่าจะเข้าใจว่าการทำ JSA คือ การนำขั้นตอนการทำงานทั้งหมดมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางเพื่อลด หลีกเลี่ยง หรือป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน ซึ่งการทำ JSA ถือเป็น Tools ที่สำคัญอย่างหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะช่วยลดอัตรราการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างปฏิบัติงานลด ถ้าหากทุกคนให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัน และที่สำคัญการทำ JSA จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ถ้าหากไม่ได้ความร่วมมืออย่างทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 

สุดท้ายนี้ใครที่ไม่อยากพลาดสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย