รู้จักสัญลักษณ์จำแนกวัตถุอันตราย 9 ประเภท

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท

เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การใช้งานสารเคมีและวัตถุอันตรายต่าง ๆ ในงานก่อสร้างคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อกระบวนการก่อสร้างในไซต์งาน แต่ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่สูงไม่น้อย และถ้าหากว่า คุณไม่เรียนรู้วิธีการจัดการหรือใช้งานงานอย่างเหมาะสม ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงทั้งต่อคนงาน สภาพแวดล้อม และอุปกรณ์ต่าง ๆ

ดังนั้น การทำความเข้าใจ “สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และส่งเสริมการทำงานที่มีประสิทธิภาพในงานก่อสร้างครับ

ทำไมจึงควรรู้จักสัญลักษณ์วัตถุอันตรายในงานก่อสร้าง ?

ในสถานที่ก่อสร้าง วัตถุอันตรายมักจะถูกใช้ในหลากหลายหลายรูปแบบ เพื่อใช้การทำงานสะดวก ง่าย และรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สารเคมีเร่งปฏิกิริยา หรือสารเคลือบป้องกันสนิม และถ้าหากพนักงานไม่เรียนรู้การใช้งานสัญลักษณ์วัตถุอันตรายเหล่านี้ให้ดี ก็อาจนำไปสู่อุบัติเหตุอย่าง การระเบิด การเผาไหม้ หรือการสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษได้ง่าย ๆ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภทที่ควรรู้ พร้อมวิธีป้องกันอุบัติเหตุ

นี่คือสัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท ที่คุณควรรู้ เพื่อลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้องครับ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Explosive
  1. สารที่ระเบิดได้ (Explosive)

สารที่ระเบิดได้ (Explosive) สารเคมีที่สามารถเกิดปฏิกิริยาระเบิดหรือเผาไหม้อย่างรุนแรง เมื่อถูกกระทบกระเทือน เสียดสี สัมผัสประกายไฟ และโดนความร้อน เช่น สารประกอบกลุ่ม Nitrate หรือดินระเบิด

ข้อควรปฏิบัติ ควรจัดเก็บสารระเบิดในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี ห่างไกลจากแหล่งความร้อนหรือประกายไฟ และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ถูกออกแบบเพื่อลดความเสี่ยงจากแรงกระแทกหรือแรงสั่นสะเทือน

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Oxidizing
  1. สารเร่งการติดไฟ (Oxidizing)

สารเร่งการติดไฟ (Oxidizing) สารเคมีที่ปล่อยออกซิเจนเพื่อเพิ่มความรุนแรงของการเผาไหม้ และเมื่อสัมผัสกับสารไวไฟ ก็อาจทำให้ไฟไหม้รุนแรงเช่น  เช่น สารประกอบ Hypochlorite, Permanganate หรือสารฟอกขาวหรือสารเคมีในงานเชื่อม

ข้อควรปฏิบัติ ไม่เก็บรวมกับสารเคมีไวไฟ และควรใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือและแว่นตา เพื่อป้องกันการสัมผัสสารโดยตรงหรือเกิดไฟลุกไหม้

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Flammable
  1. วัตถุไวไฟ (Flammable)

สารไวไฟ (Highly Flammable) สารที่สามารถติดไฟได้ง่าย ของเหลวไวไฟที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 21 องศาเซลเซียส หรือสารเคมีที่เกิดไฟได้หากสัมผัสกับน้ำและอากาศชื้น เช่น น้ำมันเบนซินหรือสีทาไม้

ข้อควรปฏิบัติ ใช้ภาชนะที่ปิดสนิทและกันไฟ พร้อมจัดเก็บในพื้นที่ที่ห่างไกลจากเปลวไฟ ประกายไฟ และความร้อน

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Corrosive
  1. สารกัดกร่อน (Corrosive)

สารกัดกร่อน (Corrosive) สารเคมีก่อให้เกิดการระคายเคืองดวงตาและผิวหนัง เมื่อสัมผัสกับสารหรือไอสาร และก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงเช่น กรดแก่ เบสแก่ สารที่ดูดน้ำ กรดซัลฟูริก หรือโซดาไฟ

ข้อควรปฏิบัติ ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันขณะใช้งาน เช่น ถุงมือ หรือหน้ากากกันสารเคมี รีบล้างบริเวณที่สัมผัสสารด้วยน้ำสะอาดและปรึกษาแพทย์ทันที ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Toxic
  1. สารมีพิษ (Toxic)

สารมีพิษ (Toxic) สารเคมีที่พิษหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น สะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงเฉียบพลัน ก่อให้เกิดมะเร็ง หรืออันตรายต่อทารกในครรภ์ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ทั้งทางระบบหายใจ ปาก และผิวหนัง เช่น ยาฆ่าแมลง

ข้อควรปฏิบัติ ควรเก็บสารพิษให้ห่างจากพื้นที่จัดเก็บอาหารและน้ำดื่มซึ่งเสี่ยงต่อการรับประทาน สูดดม หรือสัมผัส และควรใช้งานในพื้นที่ที่มีระบบระบายอากาศดี เพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษในอากาศ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Irritant
  1. สารระคายเคือง (Irritant)

สารระคายเคือง (Irritant) สารเคมีที่ทำให้เกิดการบวมแดง ระคายเคือง หรือมีอาการแพ้บริเวณดวงตา ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจเมื่อสัมผัสกับหรือสูดดมสาร ซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน เช่น ผงซักฟอก สารทำความสะอาด

ข้อควรปฏิบัติ สวมถุงมือและแว่นตาป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับและสูดดมสารเคมีโดยตรงเพื่อลดการระคายเคือง

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Harmful

  1. สารอันตราย (Harmful)

สารอันตราย (Harmful) สารเคมีที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพหากได้รับแบบเฉียบพลัน ระยะยาว หรืออาจเป็นสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ เช่น ตัวทำละลายบางชนิด จึงใช้งานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ข้อควรปฏิบัติ อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้งานอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับร่างกายทุกรูปแบบ และเก็บในพื้นที่ที่ผู้ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถเข้าถึงได้

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Radioactive
  1. สารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive)

สารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive) สารเคมีที่ปล่อยรังสีอันตรายในปริมาณที่มากกว่า 0.002 ไมโครคูรีต่อกรัม และอาจส่งผลกระทบต่อเซลล์ในร่างกาย เช่น ยูเรเนียมหรือซีเซียม

ข้อควรปฏิบัติ จัดเก็บในตู้ที่มีมาตรการความปลอดภัยขั้นสูง มีระบบป้องกันรังสี และอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมใช้งานหรือเข้าถึงเท่านั้น

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Dangerous for the environment

  1. สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (Dangerous for the environment)

สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (Dangerous for the environment) สารที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ  สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เช่น สารเคมีปนเปื้อนในน้ำและดิน หรือสารพิษที่สะสมในห่วงโซ่อาหาร

ข้อควรปฏิบัติ ควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการรั่วไหล ตรวจสอบระบบบำบัดของเสียให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด

สรุป

การทำความเข้าใจและจดจำสัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท และสัญลักษณ์ความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในงานก่อสร้างทุก ๆ ขั้นตอน และยังลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากสารเคมีอันตรายที่ใช้งานในไซต์งานก่อสร้างที่คุณต้องระมัดระวังอยู่เสมอครับ

และถ้าหากว่าคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง  รถเครน และปั้นจั่น EK CRANE เราอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ที่คุณควรรู้ พร้อมบริการให้เช่ารถเครน หลากหลายประเภท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) คืออะไร เทคนิคปฐมพยาบาลสำคัญที่ควรทราบ

การช่วยฟื้นคืนชีพ

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นเทคนิคการปฐมพยาบาลสำคัญที่ช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะในงานก่อสร้างที่ความปลอดภัยคือสิ่งเราควรเรียนรู้ให้ดี เพื่อป้องกันและเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะการทำ CPR ที่ถูกต้องจะสามารถเพิ่มโอกาสการต่อชีวิตได้ทันท่วงที และสร้างการทำงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพนั่นเองครับ

ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนไปเรียนรู้รายละเอียดการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ทั้งความหมาย ความสำคัญ เทคนิคการนำไปใช้ และข้อควรระวัง เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมั่นใจ

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) คืออะไร ?

การช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary Resuscitation: CPR) คือกระบวนการปฐมพยาบาลที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจและปอดในผู้ที่หัวใจหยุดเต้น หรือหยุดหายใจเฉียบพลัน โดยการกดหน้าอกและเป่าปากเพื่อช่วยให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปยังสมองและอวัยวะสำคัญซึ่งมีผลต่อโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาฉุกเฉินก่อนที่ทีมแพทย์หรือเจ้าหน้าที่กู้ชีพจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุและช่วยเหลือต่อไป

อีกทั้งยังเป็นขั้นตอนที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายถาวรต่อสมองจากการขาดออกซิเจนในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่หมดสติและไม่ตอบสนอง ไม่มีการหายใจ หรือร้ายแรงถึงหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือเหตุการณ์จมน้ำ

การช่วยฟื้นคืนชีพ ในงานก่อสร้าง

3 ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพที่ถูกต้อง

เพื่อให้การช่วยฟื้นคืนชีพมีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ดังนี้ครับ

  1. การตรวจสอบสภาพผู้ป่วย

ก่อนเริ่มการช่วยเหลือ ให้คุณตรวจสอบการตอบสนองของผู้ป่วย โดยเขย่าตัวหรือตบที่หัวไหลเบา ๆ และเรียกเสียงดังเพื่อดูว่าผู้ป่วยตอบสนองหรือไม่ จากนั้นตรวจสอบการหายใจโดยสังเกตว่า ภายในสิบวินาที หน้าอกยกขึ้นลงหรือไม่ หากผู้ป่วยไม่มีการตอบสนองและไม่มีการหายใจ ให้โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินที่หมายเลข 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

  1. การกดหน้าอก

การช่วยฟื้นคืนชีพด้วยการกดหน้าอกเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะสำคัญ โดยเริ่มจากการคลำชีพจร และถ้าหากค้นหาชีพจรไม่เจอ ให้เริ่มกดหน้าอกโดยใช้หลักการ 3 ส่วน ได้แก่

  • ตำแหน่งที่ถูกต้อง วางมือทั้งสองข้างบนกระดูกหน้าอกส่วนกลาง โดยมือข้างหนึ่งวางทับมืออีกข้าง แขนเหยียดตรง
  • จังหวะและความลึก ใช้แรงจากไหล่กดลงลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร หรือ 2 นิ้ว
  • จำนวนครั้งต่อนาที กดหน้าอกจำนวน 100-120 ครั้งต่อนาทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาการไหลเวียนของเลือด
  1. การเป่าปาก

ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพลำดับสุดท้ายคือ การเป่าปากเพื่อเติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย โดยเริ่มต้นจากการเงยศีรษะและยกคางผู้ป่วยขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วบีบจมูกเพื่อป้องกันการรั่วไหล แนบปากสนิทกับปากผู้ป่วยและเป่าลมเข้าสองครั้ง

ให้ผู้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพใช้เวลาประมาณหนึ่งวินาทีต่อครั้ง พร้อม ๆ กับสังเกตว่า หน้าอกผู้ป่วยยกขึ้นหรือไม่ ถ้าหากหน้าอกไม่ยกให้ปรับตำแหน่งศีรษะแล้วลองเป่าใหม่ และทำซ้ำจนกว่าผู้เชี่ยวชาญจะมาถึง

เทคนิคการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ที่ถูกต้อง

การช่วยฟื้นคืนชีพที่มีประสิทธิภาพควรปฏิบัติตามเทคนิค 4 องค์ประกอบ คือ

  • กดให้ลึก ต้องกดหน้าอกให้ลึกเพียงพอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ประมาณ 5-6 เซนติเมตรในผู้ใหญ่ และ 4-5 เซนติเมตรในเด็กเล็ก โดยใช้แรงจากไหล่เพื่อป้องกันการกดลึกไม่พอหรือไม่สม่ำเสมอ
  • กดให้ร้อย โดยรักษาจังหวะการกดหน้าอกให้อยู่ระหว่าง 100-120 ครั้งต่อนาที และมีจังหวะที่สม่ำเสมอ โดยนับ ‘1 และ 2 และ’ เพื่อรักษาความต่อเนื่อง
  • ปล่อยให้สุด หลังการกดแต่ละครั้งต้องปล่อยหน้าอกกลับสู่ตำแหน่งเดิม เพื่อให้หัวใจเติมเลือดอย่างเต็มที่
  • กดไม่หยุด ห้ามหยุดการกดเกินสิบวินาที ยกเว้นเปลี่ยนเป็นการเป่าปากหรือเปลี่ยนคนทำ CPR

เครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยทำ CPR ที่ควรใช้

  • เครื่อง AED อุปกรณ์ที่ช่วยวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจและส่งกระแสไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นหัวใจในกรณีจำเป็น เช่น หัวใจหยุดเต้นจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • หน้ากากช่วยหายใจ ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อระหว่างการเป่าปาก และเพิ่มความปลอดภัยให้การช่วยฟื้นคืนชีพ
  • อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือและหน้ากาก ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อระหว่างผู้ป่วย และผู้ช่วยฟื้นคืนชีพ
การช่วยฟื้นคืนชีพ เครื่อง AED

ข้อควรระวังในการช่วยฟื้นคืนชีพ

  • ระมัดระวังตำแหน่งและแรงที่ใช้กดหน้าอก ซึ่งอาจทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งมีกระดูกเปราะบาง
  • การเป่าปากไม่ควรทำแรงเกินไป เพื่อป้องกันอากาศเข้าสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อน

สรุป

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นเทคนิคการปฐมพยาบาลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน เพราะการเรียนรู้ ฝึกฝนเทคนิคการ CPR อย่างถูกต้องมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานในไซต์งานก่อสร้างที่พนักงานมีความเสี่ยงมากกว่างานอื่น ๆ และไม่มากก็น้อยครับ

สำหรับใครที่อยากติดตามข่าวสาร ความรู้ และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถค้นหาข้อมูลจากบทความได้ที่ EK CRANE เพราะเราคือ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำงานไซต์ก่อสร้าง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

เรียนรู้การประเมินความเสี่ยง Risk Assessment เพื่อความปลอดภัยในงานก่อสร้าง

การประเมินความเสี่ยง

การทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นหนึ่งในงานที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในโลก เพราะทั้งเกี่ยวข้องกับการใช้งานเครื่องจักรหนัก การปีนป่ายในที่สูง และยังเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานอยู่เสมอ ดังนั้น ‘การประเมินความเสี่ยง’ หรือ Risk Assessment จึงกลายเป็นกระบวนการสำคัญจะที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุ ไปพร้อมกับการสร้างความปลอดภัยให้กับการดำเนินงานของพนักงานทุกคน ที่เราควรทำความเข้าใจถึงความสำคัญและแนวทางการประเมินความเสี่ยงในงานก่อสร้างครับ

การประเมินความเสี่ยง

การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) คืออะไร?

การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) คือกระบวนการวิเคราะห์และประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านความปลอดภัย สุขภาพ และประสิทธิภาพของงานก่อสร้าง เป็นขั้นตอนที่ช่วยระบุความเสี่ยง กำหนดระดับความรุนแรง และจัดลำดับความสำคัญความเสี่ยง เพื่อการวางแผนป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

ประโยชน์ของการประเมินความเสี่ยง

เพราะงานก่อสร้างมักเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ ทั้งอุบัติเหตุจากการทำงาน ทรัพย์สินเสียหาย หรือสิ่งแวดล้อมที่ถดถอยลง การประเมินความเสี่ยงจึงเป็นขั้นตอนที่ช่วยเตรียมความพร้อม ลดโอกาส และสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานที่ทำงานก่อสร้างอีกด้วย

6 ขั้นตอนการบริหารและประเมินความเสี่ยงในงานก่อสร้าง

ในการบริหารและประเมินความเสี่ยงงานก่อสร้าง การวางแผนและการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นข้อปฏิบัติสำคัญที่จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และนี่คือ 6 ขั้นตอนการบริหารและประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้างครับ

  1. ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

คุณควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจลักษณะงานก่อสร้างว่ามีความเสี่ยงด้านบ้าง เช่น การทำงานบนที่สูง การใช้อุปกรณ์เครื่องจักรกลหนัก หรือการทำงานในบริเวณที่มีสารเคมีและไฟฟ้า และวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำเกิดขึ้นอุบัติเหตุในไซต์ก่อสร้าง เช่น การลื่นตก การบาดเจ็บจากการทำงาน การสัมผัสสารเคมีที่เป็นอันตราย หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

  1. จัดลำดับความสำคัญของปัจจัยเสี่ยง

เมื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การจัดลำดับความสำคัญและความน่าจะเป็นของความเสี่ยงเหล่านี้ โดยใช้เกณฑ์การประเมินต่าง ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง ร้ายแรงต่อชีวิตพนักงาน หรือส่งผลกระทบอื่น ๆ ตามมา ซึ่งเป็นความเสี่ยงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

  1. กำหนดเทคนิคที่ตอบสนองต่อความเสี่ยง

การกำหนดวิธีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสถานการณ์ คือขั้นตอนที่ช่วยให้พนักงานสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้ดีขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน การใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือการโอนถ่ายความเสี่ยงไปยังบุคคลที่สามอย่าง การทำประกันงานก่อสร้างเพื่อรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

  1. ดำเนินการตามแผนงาน

ต่อมาคือ การนำแผนการจัดการความเสี่ยงมาใช้ในงานก่อสร้าง เช่น การฝึกอบรมพนักงาน การติดตั้งราวกันตก การจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสมกับลักษณะงาน หรือการตรวจสอบคุณภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

  1. สร้างแผนฉุกเฉินสำหรับอุบัติเหตุ

ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์หรืออุบัติที่ไม่คาดคิด แผนฉุกเฉินคือตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้พนักงานก่อสร้างสามารถตอบสนองกับเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะมีแผนการรับมือกับความเสี่ยงที่รอบคอบแล้ว คุณก็ควรสร้างแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาล การฝึกซ้อมการอพยพ หรือการจัดตั้งระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

  1. ปรับปรุงและแก้ไขการรับมือต่อความเสี่ยง

ขั้นตอนสุดท้ายคือ การประเมิน วิเคราะห์ และแก้ไขประสิทธิภาพของมาตรการแผนการรับมือความเสี่ยงในงานก่อสร้าง ซึ่งควรมีการประชุมและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการปรับเปลี่ยนแผนการให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมนั่นเองครับ

การประเมินความเสี่ยง อบรมพนักงาน

มาตรการสำคัญเพื่อการจัดการความเสี่ยงในงานก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินการตามมาตรการที่เหมาะสม จะช่วยให้งานก่อสร้างสามารถดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็น 4 ข้อดังนี้ครับ

  • การอบรมและสร้างความตระหนัก การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิธีป้องกันแก่พนักงานแก่พนักงานในไซต์ก่อสร้าง เช่น การอบรมการใช้อุปกรณ์ หรือการปฏิบัติตัวในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
  • การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการประเมินความเสี่ยงในงานก่อสร้าง เช่น ระบบตรวจจับความปลอดภัย หรือโดรนสำหรับการตรวจสอบพื้นที่
  • การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการหยุดชะงักของงานก่อสร้าง ที่เกิดจากความเสียหายของเครื่องจักร หรือการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม
  • การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ระหว่างทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา จะช่วยสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ

สรุป

การประเมินความเสี่ยงในงานก่อสร้างถือเป็นหัวใจสำคัญของการลดอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการ เพราะเป็นขั้นตอนที่ทั้งช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับพนักงาน เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพของงาน และช่วยให้การก่อสร้างดำเนินไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย

หากคุณกำลังมองหารถเครนคุณภาพสูงสำหรับงานก่อสร้าง Ek CRANE เราคือผู้ให้เช่ารถเครนก่อสร้างที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเครนแบบเคลื่อนที่ เครนติดตั้งถาวร หรืออุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อให้คุณมั่นใจในความทนทานและประสิทธิภาพสูงสุดในทุกการก่อสร้าง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย