การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย หัวใจสำคัญก่อนเริ่มงานก่อสร้าง

ประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่า ‘ความปลอดภัย’ เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานก่อสร้าง พนักงานทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับความปลอดภัยจากความเสี่ยงในการทำงานที่อาจกระทบถึงสุขภาพ ชีวิต และความเป็นอยู่ ผู้ประกอบการจึงควรสนับสนุนด้วยนโยบายต่าง ๆ ที่ให้การคุ้มครองแก่พนักงาน และคอยสังเกตการณ์ รักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายจากเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทันท่วงที ซึ่งหนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญและไม่ควรละเลยคือ ‘การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย’ นั่นเองครับ

ทำความรู้จัก การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Risk Assessment) คือ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติภัยหรือสถานการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิต เช่น ไฟไหม้ การระเบิด การรั่วไหลของสารเคมีหรือวัตถุอันตราย โดยพิจารณาจากความเป็นไปได้และความรุนแรงของเหตุการณ์เหล่านั้น ที่อาจส่งผลเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพแวดล้อม (ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542)

ในขณะที่ การบ่งชี้อันตราย (Hazard Identification) คือ กระบวนการสืบค้นถึงอันตรายต่าง ๆ ที่เห็นได้ชัดและที่ซ่อนอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการผลิต จนมีโอกาสเกิดอันตรายขึ้นได้

วัตถุประสงค์ของการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

การบ่งชี้อันตราย

ประโยชน์ของการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยภายในงานก่อสร้าง เป็นประโยชน์อย่างมากต่อพนักงานและองค์กร โดยมีข้อดีที่โดดเด่น ดังนี้

1. กระตุ้นให้ผู้ประกอบการ พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยในงานก่อสร้าง 

2. พัฒนาและรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้แก่องค์กร

3. ช่วยลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและการได้รับบาดเจ็บ 

4. เตรียมความพร้อมให้พนักงานสามารถจัดการกับเหตุการณ์ผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. ลดภาระค่าใช้จ่ายขององค์กรที่เกิดจากค่าปรับ ค่าชดเชย และค่ารักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ 

การประเมินความเสี่ยงในสถานก่อสร้างถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยบริหารความปลอดภัย คุ้มครองพนักงาน ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย และสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจะได้รับประโยชน์อย่างมากในระยะยาว ทั้งในแง่ของสวัสดิภาพพนักงานและความสำเร็จทางธุรกิจ

ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

Risk Assessment

1. กำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมิน

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงจะเป็นผู้รับผิดชอบในการวางเกณฑ์ที่ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง ระดับความรุนแรงของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และระดับของความเสี่ยงโดยรวม ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้มักถูกแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นตามระดับที่สูงขึ้น

2. ประเมินโอกาสและผลกระทบของความเสี่ยง

นำความเสี่ยงและปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์ เพื่อประเมินโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงและความรุนแรงของความเสียหายที่อาจตามมา ซึ่งจะทำให้เห็นระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้องค์กรวางแผนและจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ทั้งในด้านบุคลากรและงบประมาณได้อย่างเหมาะสม

3. การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

หลังจากประเมินโอกาสและความถี่ที่จะเกิดอันตรายในงานก่อสร้าง รวมถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการวิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่อให้ทราบว่าความเสี่ยงใดควรได้รับการจัดการเป็นลำดับแรก

4. การจัดลำดับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

เมื่อทราบระดับความรุนแรงของอันตรายแล้ว องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง เพื่อกำหนดกิจกรรมควบคุมความเสี่ยงที่สำคัญและอาจส่งผลร้ายแรงได้อย่างเหมาะสม โดยใช้ข้อมูลจากตารางการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้นเป็นเกณฑ์ในการประเมิน 

นอกจากนี้การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยยังเป็นขั้นตอนที่ตอบโจทย์แนวคิด ‘อุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์’ หรือ KYT และการวิเคราะห์ความปลอดภัย JSA อีกด้วยครับ

สรุป

การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการบ่งชี้อันตราย เป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารความปลอดภัยในสถานที่ก่อสร้าง เพื่อป้องกันการสูญเสียอันมีค่ายิ่งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญและดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยให้แก่พนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

หากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนประเภทต่าง ๆ เอกเครน โลจิสติกส์ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จัก ผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire Watch) ตำแหน่งสำคัญป้องกันอัคคีภัยในงานก่อสร้าง

ผู้เฝ้าระวังไฟ

ในงานก่อสร้างนั้น ความปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการป้องกันอัคคีภัย ซึ่งเป็นภัยอันตรายที่สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตให้กับผู้ที่อยู่บริเวณโดยรอบ ซึ่งหนึ่งในตำแหน่งที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและควบคุมเหตุเพลิงไหม้ในงานก่อสร้างก็คือ ‘ผู้เฝ้าระวังไฟ’ หรือ ‘Fire Watch’ บทความนี้ผมจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับหน้าที่ของผู้เฝ้าระวังไฟ และความสำคัญของตำแหน่งนี้ในงานก่อสร้างกันครับ

ผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire Watch Man) คือใคร

ผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire  Watch Man) คือ ผู้ที่มีหน้าที่ในการเฝ้าระวัง และตรวจสอบสถานที่ทำงานที่อาจก่อให้เกิดอัคคีภัย เช่น กิจกรรมการก่อสร้างต่าง ๆ และกิจกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซ เป็นต้น เพื่อสร้างความแน่ใจว่าจะสามารถดำเนินงานได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากงานเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดประกายไฟและความร้อน ซึ่งอาจลุกลามและก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้

นอกจากนี้ หากมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้น ผู้เฝ้าระวังไฟยังมีหน้าที่ดำเนินการทางเทคนิคเพื่อและใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือคนงานและทรัพย์สินของผู้ว่าจ้าง จึงเป็นบทบาทที่สำคัญอย่างมากในการดำเนินงานก่อสร้างต่าง ๆ นั่นเองครับ

ความสำคัญของผู้เฝ้าระวังไฟในงานก่อสร้าง 

การมีผู้เฝ้าระวังไฟประจำในพื้นที่ก่อสร้างนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก

  1. ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล 
  2. สามารถตรวจจับและควบคุมเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่ไฟจะลุกลามและยากต่อการควบคุม 
  3. สร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับคนงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ก่อสร้าง 
  4. ช่วยให้งานก่อสร้างดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยไม่มีอุปสรรคหรือความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้

ผู้เฝ้าระวังไฟมีหน้าที่อะไร

ผู้ควบคุมไฟมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยในสถานที่ปฏิบัติงาน โดยมีหน้าที่หลักดังนี้ 

  1. จัดทำแผนงานสำหรับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความร้อนและประกายไฟ เพื่อป้องกันการเกิดเพลิงไหม้ 
  2. ฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย เพื่อลดโอกาสในการเกิดประกายไฟและความร้อนสูง 
  3. ตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของงานที่อาจก่อให้เกิดความร้อนและประกายไฟ เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม 
  4. เฝ้าติดตามและควบคุมความปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่มีการปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น 
  5. ทำการตรวจสอบความเรียบร้อยและความปลอดภัยหลังจากเสร็จสิ้นการทำงานที่มีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความร้อนและประกายไฟ 
  6. ทดสอบและตรวจวัดระดับของสารไวไฟ สารเคมีอันตราย และสารระเบิดในบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย 
  7. จัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็น เช่น ผ้ากันไฟ เครื่องดับเพลิง และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อใช้ในการควบคุมและป้องกันการเกิดเพลิงไหม้

การทำงานของผู้เฝ้าระวังไฟก่อนเริ่มงาน

ก่อนที่จะเริ่มงานก่อสร้าง หรือดำเนินงานใด ๆ ผู้เฝ้าระวังไฟควรวางแผนตรวจสอบความเรียบร้อยตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. ประเมินความเสี่ยงในการเกิดเพลิงไหม้ พร้อมวางมาตรการควบคุมเพลิงไม่ให้เกิดอันตราย
  2. ขอใบอนุญาตในการทำงาน ก่อนเริ่มทำงานที่ก่อให้เกิดความร้อนและประกายไฟ (Work Permit)
  3. จัดทีมเฝ้าระวังไฟตามจุดที่เสี่ยงเกิดอัคคีภัย พร้อมเตรียมอุปกรณ์สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
  4. จัดการตรวจสอบเพื่อวัดค่าความเข้มข้นของสารเคมีไวไฟ ที่อาจก่อให้เกิดเหตุไฟลุกติดบริเวณโดยรอบค่า LEL และตรวจสอบสภาพบรรยากาศว่ามีความปลอดภัยพร้อมเริ่มงานหรือไม่
  5. ปิดกั้นแหล่งความร้อนและประกายไฟให้มีความปลอดภัย โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ผ้ากันสะเก็ดไฟ
  6. ประเมินความปลอดภัยและความเสี่ยงเกิดอันตรายในขณะปฏิบัติงาน
  7. ตรวจสอบพื้นที่ให้มีความปลอดภัยหลังจบการทำงาน และทำการปิดใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)

หน้าที่ของผู้เฝ้าระวังไฟเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

อัคคีภัย

เมื่อตรวจพบเหตุเพลิงไหม้ ผู้เฝ้าระวังไฟต้องรีบดำเนินการดังนี้

  • แจ้งเหตุไปยังหน่วยดับเพลิงและผู้เกี่ยวข้องทันที
  • ประเมินสถานการณ์และความรุนแรงของเพลิงไหม้
  • ใช้อุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้นเพื่อควบคุมเพลิงตามความเหมาะสม
  • อพยพคนงานและผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงไปยังจุดรวมพลหรือที่ปลอดภัย
  • ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเมื่อเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ

องค์กรที่ควรมีผู้เฝ้าระวังไฟ

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการที่มีกระบวนการผลิตหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประกายไฟและความร้อนสูง ซึ่งเรียกว่า ‘งานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย’ หรือ ‘Hot Work’ นั้น จำเป็นอย่างมากที่จะต้องจัดให้มีผู้เฝ้าระวังไฟประจำการอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดเพลิงไหม้และระเบิด ซึ่งหน้าที่สำคัญของผู้เฝ้าระวังไฟคือการคอยสังเกตการณ์และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในพื้นที่ปฏิบัติงาน ตลอดจนดำเนินมาตรการป้องกันและระงับเหตุเพลิงไหม้เบื้องต้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุดครับ

สรุป

ผู้เฝ้าระวังไฟ นับเป็นตำแหน่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการป้องกันและควบคุมอัคคีภัยในงานก่อสร้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังช่วยให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่นอีกด้วยครับ ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดให้มีผู้เฝ้าระวังไฟที่มีความรู้ความสามารถ และพร้อมปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกโครงการก่อสร้าง

สุดท้ายนี้หากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง สามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนทุกประเภท เอกเครน โลจิสติกส์ เราเป็นผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อความพร้อมต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินในงานก่อสร้าง

อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น

อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น จำเป็นแค่ไหนในงานก่อสร้าง หากพูดถึงการทำงานก่อสร้างสิ่งแรกที่หลายคนคำนึงคือ ‘ความปลอดภัย’ ใช่ไหมครับ? เพราะเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดอันตรายต่อชีวิต เช่น การตกจากที่สูง การเดินเหยียบตะปูหรือเหล็ก อุบัติเหตุจากเครื่องจักรขัดข้อง อุบัติเหตุจากลวดสลิงขาด เป็นต้น ซึ่งงานที่มีความเสี่ยงในระดับนี้ พนักงานควรได้รับอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานได้อย่างถูกวิธี

โดยผมได้รวบรวมวัตถุประสงค์ และความสำคัญของการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาให้ในบทความนี้ มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลยครับ

การอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น คืออะไร

การอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือการถ่ายทอดความรู้ และทักษะต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมสามารถปฏิบัติงานช่วยเหลือขั้นพื้นฐานได้หากประสบเหตุไม่คาดฝัน ทั้งแง่มุมของการประเมินอาการผู้บาดเจ็บ การปฐมพยาบาล และการช่วยเหลือด้านต่างๆ อย่างทันท่วงที

ทั้งหมดนั้นเพื่อให้ความปลอดภัยในงานก่อสร้างเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง พร้อมรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีสติ โดยการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ First Aid และ CPR ครับ

อ่านเพิ่มเติม: รู้จักกฎความปลอดภัย 5 ข้อ เสริมความอุ่นใจในการทำงานไซต์ก่อสร้าง

First Aid คืออะไร

First Aid

First Aid หรือ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ การช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุทันที เพื่อประคับประคองอาการผู้บาดเจ็บจนกว่าจะนำส่งโรงพยาบาล หรือรับการรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ โดยจะใช้เพียงอุปกรณ์ที่หาได้ในขณะนั้น

โดยเหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลมีมากมาย ตั้งแต่

  • ภาวะหมดสติ
  • การชัก
  • การเกิดภาวะลมแดด (ฮีทสโตรก)
  • ภาวะหัวใจวาย
  • การสำลัก
  • เลือดออก บาดเจ็บ อุบัติเหตุต่างๆ
  • กระดูกหัก
  • โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคต่างๆ ที่เกิดอาการกะทันหัน

การที่เรามีความรู้พื้นฐานจะสามารถทำให้เราสามารถรับมือสิ่งต่างๆ ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในความปลอดภัยของผู้บาดเจ็บ ณ ขณะนั้นได้อีกด้วย

CPR คืออะไร

CPR

CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) คือ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยวิธีปั๊มหัวใจ เป็นทักษะที่ใช้ในการคืนชีพให้กับผู้บาดเจ็บที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ซึ่งเป็นภาวะที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมองได้อย่างถาวรภายในเวลา 4 นาที และอาจเสียชีวิตภายในเวลา 8-10 นาที การปั๊มหัวใจจึงเป็นการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในงานก่อสร้าง

วัตถุประสงค์ในการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น

โดยการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้

  • เพื่อเพิ่มพูนทักษะในการปฐมพยาบาลและการคืนชีพให้กับผู้บาดเจ็บได้อย่างถูกวิธี 
  • เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นสามารถนำทักษะมาใช้ในการประคับประคองอาการผู้บาดเจ็บได้เบื้องต้น ก่อนนำส่งโรงพยาบาลหรือได้รับการรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์
  • เพื่อลดความรุนแรงและบรรเทาอาการของผู้บาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ
  • เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นเกิดความตระหนักถึงการเกิดอุบัติเหตุในงานก่อสร้าง และป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากขึ้น
  • เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นสามารถนำความรู้และทักษะมาใช้ได้จริง

ความสำคัญของอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น

1. ลดความเสี่ยงในการทำงาน

เมื่อพนักงานได้รับการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ส่งผลให้เกิดการตระหนักถึงความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้างมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุตามแนวคิด KYT จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นก็สามารถนำทักษะจากการอบรมมาใช้ได้จริง

2. เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต

การที่พนักงานได้รับอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นและ CPR ทำให้มีทักษะในการช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ ซึ่งเป็นการประคับประคองอาการก่อนที่จะได้รับการรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือรอนำส่งโรงพยาบาล เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้อย่างถูกวิธี

3. ลดความเสี่ยงทางการแพทย์

หลังจากผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหรือ CPR แล้ว จะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถประเมินอาการและทำการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดความเสี่ยงทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นหาไม่ได้รับการปฐมพยาบาลอย่างทันท่วงที การให้พนักงานเข้ารับอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงจำเป็นอย่างมากในงานก่อสร้างที่มีความเสี่ยงสูง

4. มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ในการทำงานก่อสร้างสามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เสมอ การได้รับการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานได้เป็นอย่างดีเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน และสามารถรับมือได้กับทุกเหตุการณ์

5. เพิ่มความมั่นใจในการช่วยเหลือ

จากเดิมที่พนักงานไม่มีทักษะด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหรือ CPR อาจทำให้ขาดความมั่นใจในการช่วยเหลือทางการแพทย์ และไม่กล้าช่วยเหลือจนไม่สามารถรักษาผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้ทัน การอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงช่วยให้พนักงานมีทักษะทางการแพทย์ที่ถูกต้อง สามารถนำใช้ได้จริง และมีความมั่นใจในการช่วยเหลือมากขึ้นครับ

สรุป

โดยสรุปแล้ว การอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่องค์กรไม่ควรละเลย เพราะการก่อสร้างเป็นงานที่มีความเสี่ยงต่ออันตรายสูง การเพิ่มพูนทักษะให้แก่พนักงานจึงช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้บาดเจ็บ ลดความเสี่ยงทางการแพทย์ เพิ่มความมั่นใจในการช่วยเหลือ และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดได้อย่างถูกวิธี 

สุดท้ายนี้หากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง สามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนทุกประเภท เอกเครน โลจิสติกส์ เราเป็นผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

ผู้รับเหมาต้องรู้! ประกันภัยงานก่อสร้าง ดีอย่างไร ทำไมถึงควรมี

ประกันงานก่อสร้าง

งานก่อสร้างเป็นงานอันตรายที่มีความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้มากมาย ด้วยลักษณะงานที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร การขนย้ายวัสดุขนาดใหญ่ การทำงานบนที่สูง ฯลฯ แม้จะทำงานออกมาดี แต่ก็มีปัจจัยบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภัยธรรมชาติ รวมถึงอุบัติเหตุเล็ก ๆ ที่อาจส่งผลร้ายแรง เช่น พนักงานบาดเจ็บ เครื่องจักรเสียหาย หรือแม้แต่งานของลูกค้าเกิดความเสียหาย เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและคลายความกังวลกับปัญหาเหล่านี้ ผู้รับเหมาควรศึกษาเกี่ยวกับ ‘ประกันภัยงานก่อสร้าง’  อย่างละเอียด เพื่อเลือกประกันการก่อสร้างที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับการดำเนินงานก่อสร้างของคุณ

ความสำคัญของประกันภัยงานก่อสร้าง

ประกันภัยงานก่อสร้าง (Contractor All Risks:CAR) ประกันภัยไซต์ก่อสร้าง หรือประกันการก่อสร้าง เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองรับผิดชอบความเสี่ยงทุกชนิดของผู้รับเหมาระหว่างดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็น งานก่อสร้าง งานต่อเติมอาคาร งานวิศวกรรมโยธา

โดยประกันภัยงานก่อสร้างจะให้ความคุ้มครองครอบคลุมความปลอดภัยในงานก่อสร้าง รวมถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างดำเนินงานก่อสร้าง เช่น ความเสียหายต่ออุปกรณ์และเครื่องจักร, ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก, และความเสี่ยงภัยทั่วไป เป็นต้น 

การมีประกันภัยนี้จะช่วยให้ผู้รับเหมาและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับความคุ้มครองและการชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและความกังวลในการดำเนินงานก่อสร้างครับ

ประกันงานก่อสร้างเหมาะสำหรับใคร

ประกันงานก่อสร้าง เป็นกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่ออุปกรณ์และเครื่องจักร, ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก, และความเสี่ยงภัยทั่วไป ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง โดยเหมาะกับ

  • ผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของโครงการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น บ้าน คอนโด โรงงาน เป็นต้น 
  • พื้นที่ใกล้เคียงบริเวณดำเนินงาน ที่มีความเสี่ยง
  • ผู้ว่าจ้างที่ต้องการตรวจสอบความปลอดภัยในการทำงาน

ประกันภัยงานก่อสร้าง คุ้มครองอะไรบ้าง

ประกันภัยไซต์ก่อสร้าง

ประกันภัยงานก่อสร้างมีหลายประเภทที่ให้ความคุ้มครองแตกต่างกันตามสัญญาของบริษัทประกันภัย เช่น

  • ประกันภัยความเสียหายต่ออุปกรณ์และเครื่องจักร: คุ้มครองความเสียหายต่ออุปกรณ์และเครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้าง 
  • ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: คุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกที่เกิดจากการดำเนินงานก่อสร้าง 
  • ประกันภัยความเสี่ยงภัยทั่วไป: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น ภัยธรรมชาติ, การก่อวินาศกรรม, หรือเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ 

ประโยชน์ของการมีประกันภัยงานก่อสร้าง

การมีประกันภัยงานก่อสร้างมีประโยชน์ต่อผู้รับเหมาะและผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  • ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน: ประกันภัยจะชดเชยค่าเสียหายต่ออุปกรณ์และเครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้าง หากเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง 
  • ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: ประกันภัยจะชดเชยค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนหากเกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกจากการดำเนินงานก่อสร้าง 
  • ความคุ้มครองความเสี่ยงภัยทั่วไป: ประกันภัยจะชดเชยความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น ภัยธรรมชาติ, การก่อวินาศกรรม, หรือเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ 
  • การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า: การมีประกันภัยงานก่อสร้างจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่างานก่อสร้างจะดำเนินไปอย่างปลอดภัยและมีการคุ้มครองที่เหมาะสม 
  • การปฏิบัติตามกฎหมาย: ในบางกรณี การมีประกันภัยงานก่อสร้างเป็นข้อกำหนดตามกฎหมาย ดังนั้น การทำประกันจะช่วยให้ผู้รับเหมาปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

สรุป

ประกันภัยงานก่อสร้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้รับเหมาและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองและการชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและความกังวลในการดำเนินงานก่อสร้าง นอกจากนี้ การมีประกันภัยงานก่อสร้างยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และเป็นข้อกำหนดตามกฎหมายในบางกรณีอีกด้วยครับ ดังนั้น ผู้รับเหมาควรศึกษารายละเอียดของกรมธรรม์ให้ดีก่อนเสมอ เพื่อพิจารณาทำประกันภัยงานก่อสร้างที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและความต้องการของโครงการ

และสำหรับไซต์งานก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ต้องการยกวัสดุน้ำหนักมากได้อย่างปลอดภัย EK CRANE มีรถเครนให้เช่าพร้อมให้บริการทั่วจังหวัดชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง มีทีมงานมากประสบการณ์ดูแลทุกขั้นตอน มีขนาดรถเครนให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นรถเครนราฟเทอเรน 10 ตัน หรือรถเครนขนาดใหญ่ออลเทอเรน 400 ตัน ไปจนถึง 550 ตัน ไม่ว่าจะรูปแบบงานประเภทใดเราก็มีรถเครนที่เหมาะกับคุณ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

Checklist มาตรการปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง

checklist การทำงานบนที่สูง

การทำงานบนที่สูงและการทำงานบนนั่งร้านที่ต้องเสี่ยงกับการตกจากที่สูง เช่น งานก่อสร้าง งานบำรุงรักษา งานสายส่งไฟฟ้า งานทำความสะอาด การช่วยเหลือกู้ภัย หรือแม้กระทั่งการทำงานในหลุม บ่อ เป็นต้น งานที่ต้องเสี่ยงกับการตกจากที่สูงหรือพื้นที่ต่างระดับนี้ จำเป็นที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องได้รับการอบรม ฝึกฝน ให้มีความรู้ ความเข้าใจและปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในขณะที่ปฏิบัติงานบนที่สูงและปฏิบัติให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยเราได้ทำ checklist การทำงานบนที่สูง มารวบรวมไว้ให้ที่นี่แล้ว

skyscraper

การทำงานบนที่สูง คือ

อย่างแรกเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า “การทำงานบนที่สูง” หมายถึงอะไร การทำงานบนที่สูง คือ การทำงานที่ตัวผู้ปฏิบัติงานอยู่บนพื้นที่ที่สูงจากพื้นดิน หรือสูงจากพื้นอาคารตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป หรือทางต่างระดับลงไปมากกว่า 2 เมตรก็ตาม ที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติงานพลัดตกได้ ด้วยความที่การทำงานบนพื้นที่สูงนั้นมีความเสี่ยงสูงที่ตัวผู้ปฏิบัติงานจะเกิดอันตรายต่อชีวิต เช่น พลัดตก จึงทำให้มีการประกาศกฎหมายออกมาบังคับใช้สำหรับการทำงานบนที่สูงให้นายจ้างต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติงาน และ ลูกจ้างทุกคนที่ทำงานบนที่สูง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ข้อบังคับสำหรับการทำงานบนที่สูงตามที่กฎหมายกำหนด

checklist ข้อบังคับการทำงานบนที่สูง มีดังนี้

  1. นายจ้างจะต้องจัดให้มีการอบรมการทำงานบนที่สูง หรือ ชี้แจงเกี่ยวกับข้อบังคับและขั้นตอนในการทำงานบนที่สูงเพื่อความปลอดภัย 
  2. นายจ้างจะต้องมีเอกสารประกอบการใช้งานอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย (PPE) ที่ออกด้วยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกจ้างอ่านและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 
  3. นายจ้างจะต้องเตรียมอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย (PPE) ที่ได้รับมาตรฐาน และพร้อมใช้งาน 100% ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเช็กหมวกเซฟตี้ และเครื่องมือชนิดอื่นๆ และต้องบังคับใช้อย่างเคร่งครัด 
  4. นายจ้างจะต้องจัดให้มีการเตรียมความพร้อม ตรวจสอบ และเตรียมอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบว่าอุปกรณ์พร้อมใช้งานก่อนการทำงานทุกครั้ง 
  5. นายจ้างจะต้องจัดให้มีอุปกรณ์กันตก เช่น ราวกั้น รั้วกั้น หรือตาข่ายต่าง ๆ ในกรณีที่มีการทำงานบนพื้นที่สูง 4 เมตรขึ้นไป แต่แนะนำว่าควรมีไม่ว่าจะสูงเท่าไหร่ก็ตาม 
  6. นายจ้างจะต้องจัดให้มีการติดตั้งนั่งร้านที่ได้มาตรฐาน
  7. นายจ้างจะต้องจัดให้มีฝาปิดช่องหรือปล่องต่าง ๆ ที่ลูกจ้างมีโอกาสตกลงไปได้ โดยฝาปิดจะต้องเป็นฝาปิดที่ได้มาตรฐาน 
  8. นายจ้างจะต้องจัดให้มีการติดตั้งนั่งร้านในกรณีที่พื้นที่ปฏิบัติงานมีความลาดชันเกิน 15 องศาขึ้นไป
  9. นายจ้างจะต้องจัดให้มีการผูกยึดอุปกรณ์ในการทำงานบนที่สูง เพื่อป้องกันไม่ให้ตกลงมาและอาจจะก่อเกิดอันตรายต่อผู้ที่อยู่ข้างล่าง 
  10. นายจ้างจะต้องบังคับใช้บันไดที่เคลื่อนย้ายได้ พาดทำมุม 75 องศาเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน 
  11. หากใช้รถเครน จะต้องบังคับใช้แผ่นเหล็กเพื่อมารองขาช้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอ่อนตัวแล้วทำให้รถเครนล้มตัวลงมา โดยคนขับและผู้ให้สัญญาณจะต้องผ่านการอบรม และตัวรถเครนจะต้องผ่านการตรวจสอบเครนจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและมีใบอนุญาต

กฎหมายพื้นฐานสำหรับผู้ที่ทำงานบนที่สูง

กฎพื้นฐานสำหรับผู้ที่ทำงานบนที่สูงที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มีดังนี้

  1. ผู้ปฏิบัติงานต้องผ่านหลักสูตรอบรมการทำงานบนที่สูงอย่างปลอดภัยหมดทุกคน
  2. ทุกคนต้องบังคับสวมใส่อุปกรณ์เซฟตี้ในขณะทำงานบนที่สูง
  3. สวมใส่อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเฉพาะในการทำงาน เช่น ใส่หน้ากากกันฝุ่นเพื่อป้องกันไอควันจากการวัสดุก่อสร้าง
  4. ก่อนผู้ปฏิบัติงานจะดำเนินการก่อสร้างบนพื้นที่สูง ควรหาจุดยืนที่แข็งแรงก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง
  5. นายจ้างต้องเตรียมแผนการช่วยเหลือ ในกรณีเกิดอุบัติเหตุขณะการก่อสร้างแก่ลูกจ้างได้

กฎหมายการทำงานบนที่สูงที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือกันกับการใช้บันได มี 5 ข้อปฏิบัติ ดังนี้

  1. บันไดที่ใช้ในการปีนขึ้นไปจะต้องถูกยึดเหนี่ยวแน่น ไม่โยกในขณะการปีนขึ้นไป
  2. สวมใส่ถุงมือเซฟตี้ และรองเท้าเซฟตี้ขณะขึ้นบันไดทุกครั้ง
  3. ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ใช้บันไดร่วมกัน ต้องบังคับการขึ้นและลงทีละคนเท่านั้น
  4. ในขณะผู้ปฏิบัติงานกำลังขึ้นบันได ให้จับราวบันไดทั้งสองข้างด้วยความเร็วปกติ
  5. ผู้ปฏิบัติงานที่กำลังขึ้นบันไดต้องไม่พบอุปกรณ์พกพาติดมือในขณะปีน หากจำเป็นต้องพกพาให้ใส่ในกระเป๋าติดตัวเท่านั้น

กฎหมายอีกฉบับที่ประบังคับใช้กับสถานประกอบกิจการและนายจ้าง คือ

  1. นายจ้างต้องจัดให้มีข้อบังคับและขั้นตอนการปฏิบัติงาน หรือ คู่มือการทำงานนั่นเอง โดยก่อนเริ่มทำงานเราจะต้องทำการอบรมให้กับพนักงานก่อนเริ่มทำงานบนที่สูง อาจจะใช้การประเมินอันตรายด้วย JSA มาทำเป็นคู่มือก็ได้เช่นกัน
  2. นายจ้างและผู้ปฏิบัติงานจะต้องปฏิบัติตามคู่มือการทำงานของอุปกรณ์และเครื่องจักรที่ใช้ในการทำงานบนที่สูงอย่างเคร่งครัด
  3. จะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันการตก เข็มขัดนิรภัย หรือ PPE ตลอดระยะเวลาที่ทำงานบนที่สูง รวมทั้งจัดให้มีส่วนประกอบของระบบกันตกดังนี้

3.1 จุดยึดที่แข็งแรง (A)

3.2 เข็มขัดกันตกยึดกับร่างกาย (B)

3.3 อุปกรณ์เชื่อมต่อในแต่ละส่วนที่ได้มาตรฐานแข็งแรง ©

Working at height

ข้อกำหนดเพื่อใช้สำหรับการขึ้นทำงานบนที่สูงให้ปลอดภัย

checklist ข้อกำหนดการขึ้นทำงานบนที่สูงให้ปลอดภัย มีดังต่อไปนี้

  • ห้ามทำงานบนที่สูงเพียงลำพังคนเดียว
  • ห้ามวิ่งหรือเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อทำงานบนที่สูงกว่าพื้นดินเกิน 2 เมตร
  • ขณะทำงานงาน ห้ามโยนสิ่งของหรือเครื่องมือให้แก่ผู้ที่อยู่บนที่สูงอย่างเด็ดขาด
  • เมื่อทำงานอยู่บนที่สูง ห้ามทิ้งสิ่งของหรือเครื่องมือลงสู่เบื้องล่างโดยเด็ดขาด
  • การตัด การเชื่อมบนที่สูง ให้ตรวจสอบและเคลื่อนย้ายเชื้อเพลิง และสารไวไฟทุกชนิดในพื้นที่เบื้องล่างก่อน รวมถึงขณะตัดหรือเชื่อม ให้ทำด้วยความระมัดระวัง
  • ผู้ควบคุมงานต้องดูแลไม่ให้ใครเดินผ่านเบื้องล่างขณะทำงานบนที่สูง
  • หากจำเป็นต้องยกแฮงเกอร์แขวนท่อเคลื่อนย้าย ควรทำการเคลื่อนที่ภายในเส้นทางบริเวณเขตก่อสร้างเท่านั้น
  • ขณะยืนบนหลังคากระเบื้องและกระจก ควรวางน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุด และห้ามเหยียบที่แผ่นกระเบื้องโดยตรง

อันตรายที่พบได้บ่อยเมื่อทำงานบนที่สูง

การทำงานบนที่สูงมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน เนื่องจากเป็นงานที่มีความเสี่ยง โดยอันตรายที่พบได้บ่อย คืออันตรายจากการพลัดตกจากที่สูง ที่อาจส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้ และอันตรายอื่นๆ จากการทำงานบนที่สูงยังรวมถึง

  • วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง ที่อาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ด้านล่างได้รับบาดเจ็บจากวัตถุนั้น
  • การยุบตัวของโครงสร้างที่อาจพังทลายลงมาทำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับบาดเจ็บ
  • อันตรายจากไฟฟ้าช็อต ที่เกิดจากสายไฟฟ้าที่อยู่บริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน
  • การบาดเจ็บจากการลื่นไถล สะดุด ล้ม บนพื้นบริเวณที่ทำงาน
  • การบาดเจ็บจากการขนย้ายเครื่องมือและอุปกรณ์

นอกจากอันตรายที่กล่าวไปข้างต้น ในการทำงานบนที่สูงอาจมีอันตรายอื่นๆ ที่แอบแฝงอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบนที่สูง สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยและใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายอย่างเหมาะสม ซึ่งรวมถึงการใช้อุปกรณ์ป้องกันการตก เช่น เข็มขัดนิรภัยและเชือกช่วยชีวิต การใช้ราวกั้น ตาข่ายนิรภัย และมาตรการด้านความปลอดภัยอื่นๆ และต้องแน่ใจว่าผู้ปฏิบัติงานได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสมในการใช้อุปกรณ์อย่างปลอดภัย

สรุป

การทำงานบนที่สูง มีความเสี่ยงจากการพลัดตก จนทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้ จึงมีความจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติงานบนที่สูงต้องได้รับการอบรมให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมาย และนอกจากการอบรมแล้ว นายจ้างยังต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ และต้องควบคุมให้ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่แค่เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ปฏิบัติงาน แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้อื่นด้วยนั่นเอง เพราะการให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยอย่างจริงจังและการใช้มาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด สามารถสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บได้  หากสภาพแวดล้อมในการทำงานมีความปลอดภัยก็จะสามารถนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้

สุดท้ายนี้หากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง สามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนทุกประเภท เอกเครน โลจิสติกส์ เราเป็นผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาภายในไซต์ก่อสร้างด้วย Why Why Analysis

why why analysis คือ

ในปัจจุบันปัญหาต่าง ๆ ของการทำงานมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในกระบวนการทำงานภายในไซต์ก่อสร้าง ซึ่งทักษะการวิเคราะห์ปัญหาด้วย Why Why Analysis คือ พื้นฐานสำคัญและมีความเหมาะสมกับการแก้ปัญหาในกระบวนการดังกล่าวเป็นอย่างมาก การใช้ Why Why Analysis ส่งผลให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีหลักเกณฑ์ มีความเป็นระบบ มีขั้นตอนและมีเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ จึงนับว่าการใช้ Why Why Analysis คือ “การป้องกันการแก้ปัญหาแบบไม่สมเหตุผล” ที่เกิดจากการนึกคิดเองของผู้ปฏิบัติงานไปด้วยในตัว ดังนั้นเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจการใช้ Why Why Analysis มาวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ผมจึงได้รวบรวมเนื้อหาและสาระที่น่ารู้ว่า Why Why Analysis คืออะไร มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง มาให้ทุกคนได้อ่านในบทความนี้แล้ว

Why Why Analysis

การแก้ไขปัญหาด้วย Why Why Analysis คือ

Why Why Analysis คือ “การวิเคราะห์หาปัจจัยที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริง (Root Cause) ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบหรือปรากฏการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น (Effect) ด้วยวิธีการอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน โดยไม่ให้เกิดสภาพการณ์ที่ตกหล่นและซ้ำซ้อน และไม่จินตนาการไปเอง” ดังนั้น Why Why Analysis เปรียบเสมือนการมองเห็น “ผลกระทบ” และ “สาเหตุ” ในบางประเด็น แต่ยังไม่ด่วนสรุปทันทีว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่พยายามค้นหาข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและสอดคล้องเพื่อค้นหาว่า “สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร”

หรือให้ทุกคนเข้าใจอย่างง่ายๆ Why Why Analysis หรือ 5 Why คือ เครื่องมือวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาด้วยการถามหาสาเหตุด้วยคำว่า “Why” หรือ “ทำไม” เพื่อหาว่าสาเหตุของปัญหามาจากอะไร และถามซ้ำเพื่อหาว่าทำไมสาเหตุดังกล่าวจึงเกิดขึ้นได้ โดยการตั้งคำถามซ้ำไปเรื่อยๆ 5 ครั้งหรือจนกว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา จนกระทั่งได้สาเหตุที่เป็นต้นตอของปัญหา โดยสาเหตุที่อยู่หลังสุดจะต้องเป็นสาเหตุที่สามารถพลิกกลับกลายมาเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพหรือเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำได้อีกนั่นเอง

ขั้นตอนทำ Why Why Analysis

ขั้นตอนทำ Why Why Analysis ประกอบไปด้วย

  1. ระบุปัญหาหลักที่ต้องการแก้ไข: เริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาหลักที่ต้องการแก้ไขอย่างชัดเจน
  2. สอบถามที่ 1 (Why?) : สอบถามว่าทำไมเกิดปัญหานี้ขึ้น ซึ่งจะเป็นการค้นหาสาเหตุหลักที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
  3. สอบถามที่ 2 (Why?) : ต่อมาสอบถามว่าทำไมสาเหตุที่ตอบมาจากขั้นตอนที่ 2 นั้นเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการค้นหาสาเหตุย่อยที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุหลัก
  4. ทำขั้นตอนที่ 3 จนกระทั่งได้สาเหตุหลักและสาเหตุย่อยทั้งหมด : ทำขั้นตอนการสอบถามสาเหตุย่อยต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้สาเหตุหลักและสาเหตุย่อยทั้งหมด (Why ที่ดีควรสอบถามให้ถึง 5 Why)
  5. หาวิธีแก้ไขสาเหตุหลัก : หลังจากได้สาเหตุหลักและสาเหตุย่อยทั้งหมดแล้ว จะต้องหาวิธีแก้ไขสาเหตุหลักเพื่อแก้ไขปัญหาให้หมดไป
  6. ดำเนินการแก้ไข : หลังจากได้วางแผนวิธีแก้ไขสาเหตุหลักแล้ว ก็ทำการดำเนินการแก้ไขเพื่อแก้ไขปัญหา
  7. ตรวจสอบผล : หลังจากดำเนินการแก้ไขแล้ว จะต้องทำการตรวจสอบผลเพื่อให้แน่ใจว่าปัญหานั่นได้คลี่คลายแล้ว
  8. ประเมินและป้องกันปัญหาเดียวกัน : หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว จะต้องประเมินว่าการแก้ไขนั้นเป็นไปตามที่คาดหมายหรือไม่ และควรมีการวางแผนการป้องกันปัญหาเดียวกันในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำอีก
5Why

9 ข้อ ที่ต้องคำนึกเมื่อทำ Why Why Analysis

9 ข้อที่ต้องคำนึกถึงเมื่อทำ Why Why Analysis เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นที่จะต้องประกอบไปด้วยเทคนิคดังต่อไปนี้

  1. หาความชัดเจนกับปัญหา (Specification) และไม่เป็นนามธรรม
  2. การวิเคราะห์ต้องดูพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง (3G)
  3. ต้องระวังต้นเหตุเทียมหรือต้นกำเนิดที่ไม่สมเหตุสมผล
  4. ต้องพิจารณาปัญหา (สาเหตุ) ให้รอบด้าน
  5. หลีกเลี่ยงสาเหตุจากสภาพจิตใจ (Emotional Cause)
  6. ต้นเหตุต้องนำมากำหนดเป็นมาตรการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดซ้ำ
  7. ไม่นิยมนำมาตรการแก้ปัญหามากำหนดเป็นต้นเหตุ
  8. ต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ด้วย MECE Technique
  9. พิจารณาว่าสาเหตุใดควรเป็นต้นเหตุสุดท้าย

5 Gen ที่จะช่วยให้การทำ Why Why Analysis มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

นอกจากการใช้ Why Why Analysis มาวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาแล้วนั่น ยังมีอีกหลักการหนึ่งที่ยังสามารถช่วยให้การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือ “หลักการ 5 Gen” โดยประกอบไปด้วย Genba, Genbutsu, Genjitsu, Genri และ Gensoku โดยเฉพาะใน 3 Gen แรกที่จะให้ความสำคัญกับการดำเนินการค้นหาปัญหา เป็นการลงไปเห็นที่จุดเกิดเหตุของปัญหานั้นๆ เพื่อที่จะนำมันมาแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยในแต่ละหลักการมีความหมายดังนี้

  • Genba คือ สถานที่จริง/หน้างานจริง หรือก็คือ การลงพื้นที่เพื่อค้นหาปัญหาจริง ๆ
  • Genbutsu คือ สิ่งที่เป็นตัวปัญหาจริง หมายถึง การสังเกตหรือจับต้องสิ่งนั้น ๆ ที่กำลังจะถูกผลิตหรือกำลังถูกตรวจสอบนั่นเอง
  • Genjitsu คือ สถานการณ์จริง หมายถึง เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดปัญหาจริง
  • Genri คือ ทฤษฎีที่ใช้ได้จริง หมายถึง หลักการที่ใช้ในการทำงาน หรือสมมุติฐานในการแก้ไขหรือตรวจสอบ
  • Gensoku คือ เงื่อนไขประกอบที่เกี่ยวข้องจริง หมายถึง ข้อจำกัด ข้อตกลง หรือกฎที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งเหตุผลที่ควรนำหลักการ 5 Gen มาใช้ด้วยนั้น ก็เป็นเพราะว่าการวิเคราะห์ด้วย Why Why Analysis ในอดีตมีข้อด้อยคือ ขาดการทวนสอบจากสถานที่จริง จึงทำให้เกิดการวิเคราะห์อยู่เพียงแค่บนโต๊ะทำงาน ทำให้ปัญหาจริงๆไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้น จึงต้องใช้หลักการของ 5 Gen เข้าไปร่วมด้วย โดยจะช่วยทำให้เราสามารถค้นหาปัญหาที่เรากำลังตามหาได้อย่างแท้จริงนั่นเอง

สรุป

จากบทความข้างต้น Why Why Analysis คือการถกถามหาปัญหาไปเรื่อยๆ เพื่อหาต้นเหตุของปัญหาไปจนกว่าจะเจอสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง ซึ่งคำถามที่เกิดขึ้นอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า 5 คำถามก็ได้ และในแต่ละคำถามอาจจะมีมากกว่า 1 คำตอบก็เป็นได้ ซึ่งจะช่วยทำให้เข้าใกล้ถึงปัญหาได้มากขึ้นจนสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และตรงประเด็น

ซึ่งในปัจจุบันหลักการวิเคราะห์ด้วย Why Why Analysis ไม่ได้เป็นที่นิยมในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง โรงงานผลิต หรือ โรงพยาบาล เท่านั้น แต่ยังมีหลาย ๆ องค์กรที่นำหลักการวิเคราะห์ด้วย Why Why Analysis ไปใช้และได้ผลตอบรับที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ทุกคนสามารถนำหลักการวิเคราะห์ด้วย Why Why Analysis ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรหรือบริษัทของคุณได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้หากคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง สามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ EK CRANE เรามีอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ให้อยู่เสมอ และสำหรับผู้ที่สนใจเช่ารถเครนทุกประเภท เอกเครน โลจิสติกส์ เราเป็นผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีทีมงานตลอดให้บริการอยู่ตลอด สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย