เปรียบเทียบชัด ๆ ซื้อหรือเช่ารถเครน แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน

บริการเช่ารถเครนจากผู้ให้บริการแบบมืออาชีพ

ในโลกของงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมหนัก รถเครนถือเป็นเครื่องจักรที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากมีความสำคัญต่อกระบวนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการยกเหล็กเส้น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร หรือแม้แต่งานติดตั้งอุปกรณ์ในโรงงาน หลายบริษัทจึงมักเผชิญกับคำถามที่ว่า ควรซื้อรถเครนเป็นของตัวเอง หรือเลือกเช่ารถเครนจากผู้ให้บริการมืออาชีพดี เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับการทำงานมากที่สุด

เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน ลองมาเจาะลึกข้อดีข้อเสียของทั้งสองทางเลือก พร้อมไปรู้ถึงปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ

เช่ารถเครน vs ซื้อรถเครน : ข้อแตกต่างที่ต้องเข้าใจ

การตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่ารถเครนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะงาน ความถี่ในการใช้งาน ไปจนถึงงบประมาณ ลองมาดูรายละเอียดของแต่ละทางเลือกกัน

การเช่ารถเครน

การเช่ารถเครนเป็นทางเลือกยอดนิยมในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงและไม่อยากลงทุนเงินก้อนใหญ่

ข้อดี

  • ลดภาระเงินลงทุนและต้นทุนเริ่มต้น ไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทำให้บริหารสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น
  • เหมาะกับงานชั่วคราวหรือโครงการระยะสั้น เช่น งานก่อสร้างโครงการเดียว หรืองานติดตั้งชิ้นงานที่ใช้เวลาไม่นาน
  • ลดภาระในการบำรุงรักษา ผู้ให้เช่ารถเครนมักดูแลเรื่องซ่อมแซมและบำรุงรักษา ทำให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
  • เลือกขนาดและรุ่นได้ตามความต้องการ สามารถเลือกเครนขนาดเล็กสำหรับพื้นที่จำกัด หรือเครนขนาดใหญ่สำหรับงานหนักตามงานจริง
  • ความยืดหยุ่นสูง หากโครงการเปลี่ยนแปลง คุณสามารถเปลี่ยนประเภทเครนได้ทันทีโดยไม่มีข้อผูกมัด

ข้อจำกัด

  • หากใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ค่าเช่าอาจสูงกว่าการลงทุนซื้อเอง
  • ผู้เช่าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการ เช่น ระยะเวลาเช่า ตารางการใช้งาน หรือข้อกำหนดอื่น ๆ
  • ไม่ใช่เจ้าของเครื่องจักรจริง จึงไม่สามารถปรับแต่งหรือติดตั้งอุปกรณ์เสริมเฉพาะทางได้ตามต้องการ

การซื้อรถเครน

การซื้อรถเครนเป็นการลงทุนระยะยาวที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องใช้งานรถเครนเป็นประจำและต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากทำงานด้านการก่อสร้างหรือโปรเจกต์ที่ต้องใช้เครื่องจักรในการยกซ้ำ ๆ การมีรถเครนเป็นของตนเอง จะสามารถสร้างความมั่นคงและลดต้นทุนระยะยาวได้

ข้อดี

  • เป็นเจ้าของอุปกรณ์เต็มรูปแบบ คุณมีอิสระในการใช้งานและบริหารจัดการเครนตามความต้องการ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดของสัญญาเช่า
  • เหมาะกับงานระยะยาวหรืองานประจำ การซื้อเครนจะช่วยลดต้นทุนต่อการใช้งาน เมื่อเปรียบเทียบกับการเช่าระยะยาว
  • ปรับแต่งและบำรุงรักษาได้ตามต้องการ สามารถดูแล ซ่อมแซม หรือปรับแต่งเครนให้เหมาะกับงานเฉพาะทางโดยทีมงานของบริษัท
  • เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท รถเครนเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกำไรในอนาคตได้ ทั้งจากการให้เช่า หรือขายต่อ

ข้อจำกัด

  • ต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น
  • มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องด้านการบำรุงรักษาและซ่อมแซม
  • เสี่ยงต่อการเสื่อมราคาของเครื่องจักรตามกาลเวลา
  • ขาดความยืดหยุ่น หากงานใหม่ต้องใช้เครนขนาดหรือประเภทที่ต่างออกไป อาจไม่ตอบโจทย์

ทำไมถึงควรเช่ารถเครนมากกว่าการซื้อ ?

ปัจจุบันธุรกิจขนาดกลางและเล็กมักเลือกเช่ารถเครนจากผู้ให้บริการมืออาชีพมากกว่าลงทุนซื้อเอง ด้วยเหตุผลสำคัญ ได้แก่

  • ไม่ต้องลงทุนเงินก้อนใหญ่ ช่วยลดความเสี่ยงด้านการเงิน
  • เหมาะกับงานชั่วคราว หรือโครงการที่มีหลากหลายประเภท
  • ไม่มีภาระค่าบำรุงรักษาและประกัน เพราะผู้ให้เช่ารถเครนจะดูแลให้ทั้งหมด ช่วยลดภาระและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการเสื่อมราคาของเครื่องจักร และไม่ต้องกังวลเรื่องการจำหน่ายต่อในอนาคต
  • มีความยืดหยุ่นสูง เลือกรถเครนตามความต้องการแต่ละงานได้ทันที

สำหรับองค์กรที่ไม่ได้ใช้งานเครนต่อเนื่องตลอดปี การเช่ามักเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัวมากกว่า

บริการให้เช่ารถเครนกับ EK CRANE

ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเช่าหรือซื้อรถเครน

ความถี่ในการใช้งานและระยะเวลาโครงการ

หากต้องใช้รถเครนอย่างต่อเนื่องหรือมีโครงการนานหลายปี การซื้อเครนอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า เพราะช่วยลดต้นทุนการใช้งานในระยะยาว แต่สำหรับงานเฉพาะกิจ หรืองานโครงการระยะสั้นที่ใช้งานรถเครนไม่บ่อย การเช่ารถเครนจะช่วยประหยัดต้นทุน ทั้งยังมีความยืดหยุ่น และไม่ต้องกังวลกับการดูแลรักษามากนัก

งบประมาณและต้นทุนรวม

การซื้อรถเครนต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงมีค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคาในอนาคต ขณะที่การเช่าแม้จะจ่ายเป็นงวด ๆ และลดภาระเงินลงทุนเริ่มต้น แต่หากใช้งานต่อเนื่องหลายปี ต้นทุนรวมอาจสูงกว่าการซื้อ ดังนั้นการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างสองทางเลือกอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

การบำรุงรักษาและประกัน

การเป็นเจ้าของรถเครนหมายถึงต้องรับผิดชอบดูแลทุกด้าน ทั้งค่าซ่อมบำรุง ตรวจเช็กสภาพเครื่องจักร และการทำประกันภัยครอบคลุมความเสี่ยง แต่การเช่ารถเครนมักมาพร้อมบริการซ่อมบำรุงและการประกันจากผู้ให้บริการ ช่วยลดภาระงานด้านเทคนิคและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ทำให้องค์กรสามารถโฟกัสงานหลักได้เต็มที่

เคล็ดลับเลือกผู้ให้บริการเช่ารถเครนที่คุ้มค่า

ก่อนที่คุณจะเลือกเช่ารถเครนจากผู้ให้บริการ ขอแนะนำให้คุณตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ก่อนตัดสินใจทุกครั้ง เพื่อความคุ้มค่าในการใช้บริการ

  • สภาพรถเครนและมาตรฐานความปลอดภัย : ต้องผ่านการตรวจเช็กตามระยะ และมีใบรับรองความปลอดภัย (Certificate)
  • ทีมงานผู้ควบคุมเครน : ควรเป็นผู้มีใบอนุญาตและประสบการณ์จริง
  • เงื่อนไขสัญญาเช่า : ตรวจสอบความยืดหยุ่น เช่น ระยะเวลาเช่า ค่าบริการเสริม และความคุ้มครองด้านประกันภัย
  • ความน่าเชื่อถือของบริษัท : เลือกผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์ยาวนานและมีผลงานในโครงการระดับประเทศ

หากคุณกำลังมองหาบริการเช่ารถเครนที่ได้มาตรฐานระดับสากล EK CRANE พร้อมให้บริการรถเครนให้เช่าทุกขนาดตั้งแต่ 10-550 ตัน ครอบคลุมงานตั้งแต่ไซต์ก่อสร้างขนาดเล็กจนถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ระดับประเทศ เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการยกและความปลอดภัย พร้อมให้คำปรึกษาและจัดหารถเครนรับจ้างที่เหมาะสมกับงานของคุณ เพื่อให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด

ติดต่อ EK CRANE วันนี้ เพื่อรับข้อเสนอพิเศษและแผนการเช่าที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

  • สำนักงานใหญ่ (กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ) โทร 02-745-9999
  • สำนักงานใหญ่ (ระยอง) โทร 038-682-666
  • สาขาย่อย (แหลมฉบัง) 038-482-666
  • LINE : @EKCRANE

แหล่งอ้างอิง

  1. เช่า หรือ ซื้อรถยก สำหรับธุรกิจของคุณแบบไหนคุ้มกว่า. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 จาก https://yemencantwait.org/rent-or-buy-a-forklift/

คู่มือเลือกรถเครนขนาดเล็ก-ใหญ่ ให้เหมาะกับงานยกจริงทุกประเภท

การเลือกใช้รถเครนให้เหมาะสมกับลักษณะงาน ไม่ใช่แค่เรื่องของขนาดน้ำหนักที่จะยกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับพื้นที่ปฏิบัติงาน, ระยะยก (Radius), ความสูงของการยก, ข้อจำกัดเรื่องพื้นผิว, การเข้าถึงพื้นที่แคบ รวมถึงงบประมาณและเวลาในการดำเนินงาน เพราะหากเลือกผิด อาจทำให้ต้นทุนเพิ่ม งานล่าช้า หรือร้ายแรงกว่านั้นคือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกวิธีพิจารณาว่า “รถเครนเล็ก” หรือ “รถเครนใหญ่” แบบไหนที่ตอบโจทย์หน้างานของคุณได้อย่างเหมาะสมที่สุด

รถเครนเล็กตอบโจทย์งานที่ต้องการความคล่องตัวสูง

ขนาด “ตัน” ของเครนบอกอะไรกับเรา ?

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันคือ ตัวเลข “พิกัดการยก” (Tonnage Rating) ของเครน เช่น 10 ตัน, 50 ตัน, หรือ 550 ตัน ไม่ได้หมายความว่าเครนคันนั้นจะสามารถยกของที่มีน้ำหนักเท่านั้นได้ในทุกสถานการณ์ แต่ตัวเลขดังกล่าวคือ ความสามารถในการยกสูงสุด (Maximum Lifting Capacity) ภายใต้เงื่อนไขที่ “สมบูรณ์แบบที่สุด” ซึ่งในทางปฏิบัติแทบไม่เคยเกิดขึ้น โดยเงื่อนไขสมบูรณ์แบบที่ว่านี้ หมายถึง

  • รัศมีที่ใกล้ตัวเครนมากที่สุด (Minimum Working Radius) : จุดศูนย์กลางของวัตถุที่ยก อยู่ใกล้กับจุดหมุนของตัวเครนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • ความยาวบูมที่สั้นที่สุด (Shortest Boom Length) : ใช้บูม (แขนเครน) ที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เมื่อใดก็ตามที่ต้องยืดบูมออกไปยาวขึ้น หรือต้องยกของในรัศมีที่ไกลออกไป ความสามารถในการยกของเครนจะลดลงอย่างมากตามตารางพิกัดการยก (Load Chart) ที่ผู้ผลิตกำหนดไว้เสมอ ดังนั้น การจะยกของหนัก 5 ตัน ไม่ได้หมายความว่าใช้เครน 10 ตันแล้วจะปลอดภัยเสมอไป อาจจะต้องใช้เครนขนาด 25 ตัน หรือ 50 ตัน ก็เป็นได้ หากต้องยกไปวางในระยะที่ไกลหรือสูงมาก

รถเครนเล็กตอบโจทย์ในพื้นที่จำกัดและงานที่ต้องการความเร็ว

รถเครนขนาดเล็ก (10-50 ตัน) เป็นเครื่องจักรที่มีความคล่องตัวสูงและถูกใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุด ด้วยขนาดที่กะทัดรัดและน้ำหนักที่ไม่มากเกินไป ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในหลากหลายประเภทงาน ตัวอย่างเช่น

  • งานในพื้นที่แคบและจำกัด : ไซต์งานในเมือง, โรงงานที่มีเครื่องจักรหนาแน่น หรือซอยแคบ ๆ ที่รถเครนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่รถเครนเล็กสามารถเข้าไปทำงานได้อย่างสะดวก
  • งานที่น้ำหนักยกไม่มาก (ประมาณ 3–10 ตัน) : เช่น การยกแผ่นพื้นสำเร็จรูป, เทคอนกรีตด้วยกระเช้า (Bucket), ยกถังบำบัด, ติดตั้งป้าย หรือยกโครงหลังคาขนาดเล็ก
  • งานที่ต้องการความรวดเร็วและเคลื่อนย้ายบ่อย : ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้การติดตั้ง (Setup) และการเก็บ (Pack Up) ทำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับงานที่ต้องย้ายจุดยกหลาย ๆ จุดภายในวันเดียว เช่น งานวางท่อ, ยกต้นไม้ หรือการขนย้ายวัสดุก่อสร้างรอบ ๆ โครงการ
  • งานติดตั้งในแนวราบที่ไม่ต้องการความสูงมาก : การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ (Chiller), วางคานแนวนอน, หรือยกของขึ้นบนอาคาร 2-3 ชั้น ซึ่งระยะบูมของรถเครนเล็กสามารถทำงานได้สบาย ๆ
  • โครงการที่ต้องการควบคุมงบประมาณ : ค่าเช่ารถเครนขนาดเล็กย่อมเยากว่าเครนขนาดใหญ่ ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับงานที่ไม่ต้องการแรงยกสูง

รถเครนใหญ่ ขุมพลังสำหรับงานเมกะโปรเจกต์และงานสุดท้าทาย

เมื่อความหนัก ความสูง และความไกล เข้ามาเป็นปัจจัยหลัก รถเครนใหญ่ (80 ตันขึ้นไป) คือคำตอบที่เหมาะสม ด้วยศักยภาพในการยกที่มหาศาลและเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้สามารถรับมือกับงานที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงได้ ตัวอย่างเช่น

  • งานที่ต้องยกของ “หนักมาก” : การยกชิ้นส่วนสะพาน, เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator), หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer), หรือเครื่องจักรหนักในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีน้ำหนักตั้งแต่ 20 ตัน ไปจนถึงหลายร้อยตัน
  • งานที่ต้องยก “สูงและไกล” : การก่อสร้างอาคารสูง, ติดตั้งเสาส่งสัญญาณ, ประกอบชิ้นส่วนกังหันลม หรือยกอุปกรณ์ขึ้นไปบนยอดอาคาร ซึ่งจำเป็นต้องใช้บูมที่ยาวเป็นพิเศษและมีกำลังยกที่เพียงพอในระยะที่ไกลออกไป
  • งานที่ต้องการ “ความปลอดภัยสูงสุด” : ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวสูง เช่น โรงกลั่นน้ำมัน, โรงไฟฟ้า หรือโรงงานปิโตรเคมี ที่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยอาจสร้างความเสียหายมหาศาล การใช้รถเครนใหญ่ที่มีค่าความปลอดภัย (Safety Factor) สูงกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าจึงตอบโจทย์
  • งานโครงสร้างขนาดใหญ่ : การติดตั้งโครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) ในสนามกีฬา, โรงงาน หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งต้องยกชิ้นส่วนที่มีทั้งขนาดใหญ่และน้ำหนักมากไปประกอบในที่สูง
  • งานที่มีแผนการยกซับซ้อน (Complex Lift Plan) : เช่น การยกแบบพลิกชิ้นงาน (Tailing Lift), การยกประสานกันของเครนสองคัน (Tandem Lift) หรือการยกในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางจำนวนมาก ที่ต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำและขีดความสามารถของรถเครนใหญ่
รถเครนใหญ่คือตัวเลือกที่เหมาะสมกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่

6 ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา เพื่อเลือกขนาดรถเครนที่ใช่

  1. น้ำหนักของวัตถุ (Load Weight) : ไม่ใช่แค่น้ำหนักของสิ่งของที่จะยก แต่ต้องรวมน้ำหนักของอุปกรณ์ช่วยยกทั้งหมดด้วย เช่น สลิง, โซ่, และตะขอ
  2. ระยะบูมและรัศมีการยก (Boom Length & Working Radius) : ต้องวัดระยะทางจากจุดศูนย์กลางของเครนไปยังจุดที่จะวางของ (รัศมีการทำงาน) และความยาวบูมที่ต้องใช้เพื่อข้ามสิ่งกีดขวางต่าง ๆ นี่คือสองตัวแปรที่ส่งผลต่อความสามารถในการยกมากที่สุด
  3. ความสูงของการยก (Lifting Height) : ความสูงจากพื้นถึงจุดที่จะวางของ บวกกับความสูงของตัววัตถุและอุปกรณ์ช่วยยกจะเป็นตัวกำหนดความยาวบูมขั้นต่ำที่ต้องการ
  4. ลักษณะของพื้นหน้างาน (Ground Conditions) : พื้นดินต้องมีความมั่นคงแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของรถเครนและน้ำหนักที่ยกได้ หากเป็นพื้นดินอ่อน, ดินถมใหม่ หรืออยู่ใกล้ทางลาดชัน อาจต้องมีการเตรียมพื้นที่ เช่น การบดอัดหรือใช้แผ่นเหล็กรองขาเครน (Crane Pad) เพิ่มเติม
  5. ความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่ (Site Access) : ตรวจสอบเส้นทางเข้า-ออก, ความกว้างของถนน, วงเลี้ยว และสิ่งกีดขวางทางอากาศ เช่น สายไฟฟ้าหรือกิ่งไม้ เครนขนาดใหญ่อาจต้องการพื้นที่ในการเข้าและติดตั้งมากกว่าที่คิด
  6. เวลาทำงาน และงบประมาณ (Timeline & Budget) : การวางแผนที่ดีจะช่วยให้ใช้เครนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดชั่วโมงการทำงานที่ไม่จำเป็นลง และควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้

ไม่ว่าคุณจะต้องการเช่ารถเครนขนาดเล็ก 25 ตัน ในพื้นที่อยุธยา แหลมฉบัง รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ หรือต้องการเช่าโมบายเครน 300 ตัน สำหรับโครงการระดับชาติ EK CRANE มีให้ครบทุกขนาด ตั้งแต่ 10 ตัน ไปจนถึง 550 ตัน พร้อมคนขับและทีมวางแผนการยกของมืออาชีพที่จะช่วยประเมินหน้างาน วาง Lifting Plan ตามมาตรฐานความปลอดภัย และสนับสนุนอุปกรณ์เสริมทุกชนิดเพื่อให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด

ติดต่อ EK CRANE วันนี้ เพื่อรับข้อเสนอพิเศษและแผนการเช่าที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ !

  • สำนักงานใหญ่ (กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ) โทร 02-745-9999
  • สำนักงานใหญ่ (ระยอง) โทร 038-682-666
  • สาขาย่อย (แหลมฉบัง) 038-482-666
  • LINE : @EKCRANE

แหล่งอ้างอิง

  1. How to Read a Crane Load Chart?. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 จาก https://heavyequipmentcollege.edu/how-to-read-a-crane-load-chart
  2. Evolution of the crane selection and on-site utilization process for modular construction multilifts. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 จาก https://www.academia.edu/26975009/Evolution_of_the_crane_selection_and_on_site_utilization_process_for_modular_construction_multilifts?utm

ทำความเข้าใจ กฎกระทรวงด้านการฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น ต้องทำอย่างไรบ้าง

อบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ

อุตสาหกรรมการก่อสร้าง คือหนึ่งในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ออัคคีภัยสูงไม่น้อย เพราะในไซต์งานก่อสร้างหลาย ๆ ขั้นตอนจำเป็นต้องใช้วัสดุที่ติดไฟได้ง่ายและเครื่องจักรไฟฟ้า ดังนั้นองค์กรและผู้ประกอบการด้านงานก่อสร้างจึงต้องให้ความสำคัญกับการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟระหว่างทำงาน เพื่อเสริมความปลอดภัยของพนักงานและป้องกันความเสียหายใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ

โดยเฉพาะการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินจากอัคคีภัยในไซต์งานก่อสร้าง

ความสำคัญของอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ

การอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ เป็นกระบวนการสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมของพนักงานและบุคลากรในองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในอัคคีภัย และช่วยให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือ การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันและระงับอัคคีภัยในงานก่อสร้าง และยังครอบคลุมไปถึงแนวทางการอพยพหนีไฟที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยในงานก่อสร้างของทุกคนในองค์กร

ดังนั้น รัฐบาลจึงได้กำหนดกฎกระทรวงให้สถานประกอบการทุกแห่งจัดการฝึกอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟอย่างสม่ำเสมอ และถ้าหากไม่ดำเนินการตามข้อบังคับ องค์กรหรือสถานประกอบการอาจจะถูกปรับหรือได้รับโทษทางกฎหมายได้ เพราะการละเลยการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของพนักงานและทรัพย์สินของบริษัทนั่นเองครับ

อบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ การใช้ถังดับเพลิง

ข้อกำหนดการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟตามกฎกระทรวง

ตามกฎกระทรวงของรัฐบาล ได้กำหนดไว้ว่า บริษัททุกแห่งต้องมีการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟขั้นพื้นฐาน โดยมีข้อกำหนด 3 ส่วน ได้แก่

  • จำนวนพนักงานที่ต้องเข้าร่วมอบรม นายจ้างต้องจัดให้มีการอบรมดับเพลิง ให้กับพนักงาน ไม่ต่ำกว่า 40% ของพนักงานทั้งหมด
  • ความถี่ในการจัดอบรม นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
  • ระยะเวลาการอบรมที่กำหนด ต้องครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยมีระยะเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

3 ส่วนการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟตามกฎกระทรวง

การอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟตามกฎกระทรวงแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ซึ่งครอบคลุม ตั้งแต่ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ และการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดอัคคีภัย

  1. หลักสูตรภาคทฤษฎี

หลักสูตรการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟภาคทฤษฎี บริษัทต้องให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอัคคีภัย ทั้งสาเหตุ ประเภท และวิธีสังเกตรูปแบบของไฟไหม้ เช่น ไฟไหม้จากสารเคมี ไฟไหม้จากไฟฟ้าลัดวงจร และไฟไหม้จากเชื้อเพลิงต่างๆ และขั้นตอนการใช้งานเครื่องมือดับเพลิง เช่น การเลือกใช้ถังดับเพลิงที่เหมาะสมกับประเภทของไฟ หรือการทำงานของระบบแจ้งเตือนไฟไหม้

  1. หลักสูตรภาคปฏิบัติ

สำหรับหลักสูตรภาคปฏิบัติ ให้บริษัทเน้นไปที่การใช้เครื่องมือดับเพลิงอย่างถูกต้อง โดยเริ่มต้นจากการแต่งตั้ง ผู้เฝ้าระวังไฟ การฝึกฝนให้พนักงานสามารถใช้ถังดับเพลิงชนิดต่าง ๆ ได้อย่างถูกวิธี ทั้งถังดับเพลิงแบบผงเคมีแห้ง หรือถังดับเพลิงชนิด CO2 การสอนการใช้งานสายดับเพลิงเพื่อควบคุมเพลิง และอธิบายถึงขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพ พร้อมกับจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความคุ้นเคย และสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ

สุดท้ายคือ การฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้พนักงานเข้าใจแนวทางการอพยพที่ถูกต้องเมื่อเกิดเหตุจำเป็น โดยครอบคลุมตั้งแต่ การนัดจุดรวมพลและแนวทางการตรวจสอบจำนวนพนักงาน การเดินตามเส้นทางหนีไฟที่กำหนดไว้ การใช้บันไดหนีไฟ และการปฏิบัติตามสัญญาณเตือนภัยเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และสร้างความมั่นใจว่าไม่มีผู้ติดค้างอยู่ในอาคาร

เตรียมความพร้อมอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ

การเตรียมตัวก่อนการอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทควรใส่ใจ เพราะจะช่วยให้เราสามารถฝึกอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและนี่คืออุปกรณ์ที่จำเป็น สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกอบรม และเอกสารที่ต้องจัดเตรียมเพื่อให้การอบรมเป็นไปอย่างราบรื่นครับ

อุปกรณ์ดับเพลิงที่จำเป็น

โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • ถังดับเพลิง ซึ่งใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทของไฟไหม้ เช่น ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งสำหรับไฟไหม้ทั่วไป หรือถังดับเพลิง CO2 สำหรับไฟไหม้ที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า
  • สายดับเพลิงและหัวฉีดน้ำ ควรติดตั้งสายดับเพลิงพร้อมหัวฉีดน้ำแรงดันสูงที่สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ภายในอาคาร
  • สัญญาณเตือนไฟไหม้ ที่ช่วยแจ้งเตือนพนักงานเมื่อเกิดเพลิงไหม้ เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับความร้อน และสัญญาณเตือนภัย
  • อุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยอื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ผ้าห่มกันไฟ ถุงมือทนความร้อน และหน้ากากกันควันไฟ
อบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ ถุงมือทนความร้อน

พื้นที่สำหรับการฝึกอบรม

พื้นที่ฝึกอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ ควรมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการทำกิจกรรม ได้แก่

  • บริเวณเปิดโล่ง ซึ่งสามารถควบคุมไฟได้ง่าย และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
  • ห้องฝึกอบรมเฉพาะทาง ที่มีอุปกรณ์จำลองสถานการณ์เพลิงไหม้เพื่อการฝึกที่สมจริง
  • มีอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องดับเพลิงสำรอง อ่างน้ำ และทางหนีไฟในกรณีฉุกเฉิน

เอกสารที่ต้องจัดเตรียม

บริษัทควรจัดเตรียมเอกสารสำคัญเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย ได้แก่

  • แผนการฝึกอบรม พร้อมระบุรายละเอียดหลักสูตรอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ
  • คู่มือความปลอดภัย เพื่อให้พนักงานทราบถึงแนวทางปฏิบัติในกรณีเกิดเพลิงไหม้
  • รายงานผลการอบรม สำหรับการบันทึกข้อมูลผู้เข้ารับการฝึกอบรมและผลการทดสอบ
  • ใบรับรองการอบรม ใช้เป็นหลักฐานว่าองค์กรได้ดำเนินการฝึกอบรมตามกฎหมายกำหนด

สรุป

การอบรมดับเพลิงและอพยพหนีไฟเป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการทำงานในไซต์ก่อสร้าง ที่จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยระหว่างการใช้งานเครื่องมือต่าง ๆ และการดำเนินการตามกฎกระทรวงจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับใครที่ต้องการลดความเสี่ยงในการทำงานก่อสร้าง หรืออยากติดตามข่าวสาร ความรู้ และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่น EK CRANE เราคือ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำงานไซต์ก่อสร้าง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

ทำความเข้าใจหลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เสริมประสิทธิภาพการทำงาน

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย

ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ความปลอดภัยระหว่างการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่เราไม่สามารถมองข้ามได้ง่าย ๆ เพราะสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเครื่องจักร การทำงานบนที่สูง หรือการจัดการสารเคมี และถ้าหากว่า ในไซต์งานก่อสร้างไม่มีมาตรการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่เหมาะสมมากเพียงพอ ก็อาจนำไปสู่อุบัติเหตุที่รุนแรงและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้ครับ

วันนี้ผมจะพาทุกคนไป ทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และเรียนรู้วิธีป้องกันอุบัติเหตุในงานก่อสร้าง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานไซต์ก่อสร้าง

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ในงานก่อสร้าง

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย คืออะไร

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational Health and Safety: OHS) คือการจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับให้พนักงานในองค์กร โดยมีขอบเขต ครอบคลุมตั้งแต่ การป้องกันอุบัติภัย การคุ้มครองความปลอดภัย การลดความเสี่ยงจากสารเคมี การสร้างมาตรฐานการทำงานที่ปลอดภัย การปรับสภาพของงาน และการส่งเสริมสุขภาพกายและใจให้มีความแข็งแรง

ความสำคัญ

  • ความสำคัญต่อองค์กร ช่วยลดอุบัติเหตุในการทำงาน ลดความเสียหายและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการหยุดงาน และการดำเนินการด้วยหลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรและเพื่อความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย
  • ความสำคัญต่อพนักงาน หลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัยจะช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ทำให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเกิดความพึงพอใจในการทำงานและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8 องค์ประกอบพื้นฐาน ของงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

เพราะการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นจะต้องต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้านเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ และองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยลดและป้องกันอุบัติเหตุในไซต์งานก่อสร้างได้ครับ

  1. การวางแผน

การวางแผน คือองค์ประกอบส่วนแรกของการทำงานตามหลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย โดยกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย และวิเคราะห์ความเสี่ยงและการวางแนวทางป้องกันอุบัติเหตุล่วงหน้า เพื่อให้เราสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย การวางแผน
  1. การรายงานเหตุการณ์

การรายงานและตรวจสอบอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ใกล้เคียงจากพนักงานในองค์กรทุกคน Kaizen จะช่วยเราสามารถติดตามข่าวสารได้ทันท่วงที และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อปรับปรุงและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นในอนาคต ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่

  • รายงานอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
  • รายงานอันตรายและความเสี่ยง
  • รับการแจ้งเตือนเพื่อทำงานบางอย่างให้เสร็จ
  • ทบทวน แก้ไขแบบฟอร์มความเสี่ยง อันตราย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วน
  1. User-friendly interface

User-friendly interface หรือการใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและเป็นแนวทางให้ห้กับพนักงาสามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เช่น แบบฟอร์มรายงานความปลอดภัย หรือระบบแจ้งเตือนอุบัติเหตุผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้งานได้อย่างง่ายดาย และมีความชัดเจน  เพื่อการสื่อสารที่ถูกต้องและครบถ้วนมากที่สุดครับ

  1. การฝึกอบรม

การให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยแก่พนักงาน เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบจำเป็นที่บริษัทต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การทำความเข้าใจสัญลักษณ์วัตถุอันตราย การป้องกันอุบัติเหตุ วิธีการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพ ล้วนแล้วแต่เป็นการบริการจัดการที่จะช่วยให้พนักงานสามารถปฏิบัติตัวในไซต์งานก่อสร้างได้อย่างปลอดภัย

  1. การประเมินความเสี่ยง

การประเมิน การวิเคราะห์ และแก้ไขความเสี่ยง ที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน คือขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงเป็นประจำทำให้สามารถปรับปรุงมาตรการป้องกันได้อย่างเหมาะสม ผ่านการใช้งานระบบซอฟต์แวร์อัตโนมัติ ที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ในระบบการทำงาน เช่น ค่าสถิติ หรือค่าความเสี่ยงของอุบัติเหตุในขั้นตอนต่าง ๆ

  1. การรับรอง

การรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งมาจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น ISO 45001 หรือมาตรฐานความปลอดภัยของภาครัฐ คือองค์ประกอบของหลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ที่ช่วยแสดงให้เห็นถึงการรักษาความปลอดภัยในการทำงานขององค์กรต่าง ๆ และยังเป็นแนวทางที่ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานและลูกค้าได้ดีไม่น้อยเลยครับ

  1. การสื่อสาร

การสื่อสารภายในองค์กรเกี่ยวกับความปลอดภัย คือองค์ประกอบที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมที่เน้นความปลอดภัย เพราะสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพนักงานอย่างชัดเจน จะช่วยให้ทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย

  1. การเข้าถึงข้อมูล

การจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยที่พนักงานสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น คู่มือการปฏิบัติงาน กฎระเบียบในไซต์งานก่อสร้าง และข้อมูลอุบัติเหตุต่าง ๆ คือองค์ประกอบสุดท้ายในหลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ที่จะช่วยให้พนักงานสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย การทำงานบนที่สูง

อุบัติเหตุที่พบได้บ่อยจากการทำงานก่อสร้าง

การทำงานก่อสร้างมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง เพราะพนักงานในไซต์งานก่อสร้างต้องใช้เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ และแวดล้อมไปด้วยพื้นที่อันตรายที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายได้ และอุบัติเหตุที่พบบ่อยในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้แก่

  • อุบัติเหตุจากเครื่องจักร เกิดจากการใช้งานเครื่องจักรโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย พนักงานจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมการใช้งานเครื่องจักรอย่างถูกต้อง
  • อุบัติเหตุจากการเคลื่อนย้ายและกองวัสดุ มักมีสาเหตุจากการวางสินค้าที่ไม่เหมาะสม สามารถป้องกันได้โดยการจัดพื้นที่ให้เป็นระเบียบหรือใช้เครื่องมือช่วยยก
  • อุบัติเหตุจากการพลัดตกจากที่สูงหรือหกล้ม เพราะขาดอุปกรณ์ป้องกันตก ควรใช้อุปกรณ์กันตกต่าง ๆ พร้อมทั้งติดตั้งราวกั้น
  • อุบัติเหตุจากการใช้เครื่องมือต่างๆ มักจะเกิดจากเครื่องมือชำรุด หรือใช้เครื่องมือผิดวิธีหรือ พนักงานจึงควรตรวจสอบเครื่องมือก่อสร้างให้ดีก่อนใช้งาน
  • อุบัติเหตุจากไฟฟ้าช็อต จากสายไฟเสียหาย ชำรุด การตรวจสอบสายไฟและใช้เครื่องป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรจะช่วยลดอุบัติเหตุนี้ได้
  • อุบัติเหตุจากสารเคมี เกิดจากการสัมผัสสารเคมีอันตราย พนักงานควรเข้าใจถึง สัญลักษณ์วัตถุอันตราย และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลระหว่างการทำงาน
  • อุบัติเหตุจากกระบวนการผลิตที่มีอุณหภูมิสูง เกิดจากการทำงานใกล้เครื่องจักรที่มีความร้อนสูง การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันความร้อนคือวิธีป้องกันอุบัติเหตุนี้ได้

สรุป

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพราะมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ผ่านการใช้งานเครื่องจักรที่มีคุณภาพ และการดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอุบัติเหตุ และช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กร

สำหรับใครที่ต้องการลดความเสี่ยงในการทำงานก่อสร้าง หรืออยากติดตามข่าวสาร ความรู้ และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่น EK CRANE เราคือ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำงานไซต์ก่อสร้าง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

รู้จักสัญลักษณ์จำแนกวัตถุอันตราย 9 ประเภท

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท

เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การใช้งานสารเคมีและวัตถุอันตรายต่าง ๆ ในงานก่อสร้างคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อกระบวนการก่อสร้างในไซต์งาน แต่ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่สูงไม่น้อย และถ้าหากว่า คุณไม่เรียนรู้วิธีการจัดการหรือใช้งานงานอย่างเหมาะสม ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงทั้งต่อคนงาน สภาพแวดล้อม และอุปกรณ์ต่าง ๆ

ดังนั้น การทำความเข้าใจ “สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และส่งเสริมการทำงานที่มีประสิทธิภาพในงานก่อสร้างครับ

ทำไมจึงควรรู้จักสัญลักษณ์วัตถุอันตรายในงานก่อสร้าง ?

ในสถานที่ก่อสร้าง วัตถุอันตรายมักจะถูกใช้ในหลากหลายหลายรูปแบบ เพื่อใช้การทำงานสะดวก ง่าย และรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สารเคมีเร่งปฏิกิริยา หรือสารเคลือบป้องกันสนิม และถ้าหากพนักงานไม่เรียนรู้การใช้งานสัญลักษณ์วัตถุอันตรายเหล่านี้ให้ดี ก็อาจนำไปสู่อุบัติเหตุอย่าง การระเบิด การเผาไหม้ หรือการสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษได้ง่าย ๆ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภทที่ควรรู้ พร้อมวิธีป้องกันอุบัติเหตุ

นี่คือสัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท ที่คุณควรรู้ เพื่อลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้องครับ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Explosive
  1. สารที่ระเบิดได้ (Explosive)

สารที่ระเบิดได้ (Explosive) สารเคมีที่สามารถเกิดปฏิกิริยาระเบิดหรือเผาไหม้อย่างรุนแรง เมื่อถูกกระทบกระเทือน เสียดสี สัมผัสประกายไฟ และโดนความร้อน เช่น สารประกอบกลุ่ม Nitrate หรือดินระเบิด

ข้อควรปฏิบัติ ควรจัดเก็บสารระเบิดในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี ห่างไกลจากแหล่งความร้อนหรือประกายไฟ และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ถูกออกแบบเพื่อลดความเสี่ยงจากแรงกระแทกหรือแรงสั่นสะเทือน

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Oxidizing
  1. สารเร่งการติดไฟ (Oxidizing)

สารเร่งการติดไฟ (Oxidizing) สารเคมีที่ปล่อยออกซิเจนเพื่อเพิ่มความรุนแรงของการเผาไหม้ และเมื่อสัมผัสกับสารไวไฟ ก็อาจทำให้ไฟไหม้รุนแรงเช่น  เช่น สารประกอบ Hypochlorite, Permanganate หรือสารฟอกขาวหรือสารเคมีในงานเชื่อม

ข้อควรปฏิบัติ ไม่เก็บรวมกับสารเคมีไวไฟ และควรใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือและแว่นตา เพื่อป้องกันการสัมผัสสารโดยตรงหรือเกิดไฟลุกไหม้

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Flammable
  1. วัตถุไวไฟ (Flammable)

สารไวไฟ (Highly Flammable) สารที่สามารถติดไฟได้ง่าย ของเหลวไวไฟที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 21 องศาเซลเซียส หรือสารเคมีที่เกิดไฟได้หากสัมผัสกับน้ำและอากาศชื้น เช่น น้ำมันเบนซินหรือสีทาไม้

ข้อควรปฏิบัติ ใช้ภาชนะที่ปิดสนิทและกันไฟ พร้อมจัดเก็บในพื้นที่ที่ห่างไกลจากเปลวไฟ ประกายไฟ และความร้อน

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Corrosive
  1. สารกัดกร่อน (Corrosive)

สารกัดกร่อน (Corrosive) สารเคมีก่อให้เกิดการระคายเคืองดวงตาและผิวหนัง เมื่อสัมผัสกับสารหรือไอสาร และก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงเช่น กรดแก่ เบสแก่ สารที่ดูดน้ำ กรดซัลฟูริก หรือโซดาไฟ

ข้อควรปฏิบัติ ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันขณะใช้งาน เช่น ถุงมือ หรือหน้ากากกันสารเคมี รีบล้างบริเวณที่สัมผัสสารด้วยน้ำสะอาดและปรึกษาแพทย์ทันที ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Toxic
  1. สารมีพิษ (Toxic)

สารมีพิษ (Toxic) สารเคมีที่พิษหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น สะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงเฉียบพลัน ก่อให้เกิดมะเร็ง หรืออันตรายต่อทารกในครรภ์ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ทั้งทางระบบหายใจ ปาก และผิวหนัง เช่น ยาฆ่าแมลง

ข้อควรปฏิบัติ ควรเก็บสารพิษให้ห่างจากพื้นที่จัดเก็บอาหารและน้ำดื่มซึ่งเสี่ยงต่อการรับประทาน สูดดม หรือสัมผัส และควรใช้งานในพื้นที่ที่มีระบบระบายอากาศดี เพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษในอากาศ

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Irritant
  1. สารระคายเคือง (Irritant)

สารระคายเคือง (Irritant) สารเคมีที่ทำให้เกิดการบวมแดง ระคายเคือง หรือมีอาการแพ้บริเวณดวงตา ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจเมื่อสัมผัสกับหรือสูดดมสาร ซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน เช่น ผงซักฟอก สารทำความสะอาด

ข้อควรปฏิบัติ สวมถุงมือและแว่นตาป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับและสูดดมสารเคมีโดยตรงเพื่อลดการระคายเคือง

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Harmful

  1. สารอันตราย (Harmful)

สารอันตราย (Harmful) สารเคมีที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพหากได้รับแบบเฉียบพลัน ระยะยาว หรืออาจเป็นสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ เช่น ตัวทำละลายบางชนิด จึงใช้งานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ข้อควรปฏิบัติ อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้งานอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับร่างกายทุกรูปแบบ และเก็บในพื้นที่ที่ผู้ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถเข้าถึงได้

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Radioactive
  1. สารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive)

สารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive) สารเคมีที่ปล่อยรังสีอันตรายในปริมาณที่มากกว่า 0.002 ไมโครคูรีต่อกรัม และอาจส่งผลกระทบต่อเซลล์ในร่างกาย เช่น ยูเรเนียมหรือซีเซียม

ข้อควรปฏิบัติ จัดเก็บในตู้ที่มีมาตรการความปลอดภัยขั้นสูง มีระบบป้องกันรังสี และอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมใช้งานหรือเข้าถึงเท่านั้น

สัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท Dangerous for the environment

  1. สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (Dangerous for the environment)

สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (Dangerous for the environment) สารที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ  สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เช่น สารเคมีปนเปื้อนในน้ำและดิน หรือสารพิษที่สะสมในห่วงโซ่อาหาร

ข้อควรปฏิบัติ ควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการรั่วไหล ตรวจสอบระบบบำบัดของเสียให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด

สรุป

การทำความเข้าใจและจดจำสัญลักษณ์วัตถุอันตราย 9 ประเภท และสัญลักษณ์ความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในงานก่อสร้างทุก ๆ ขั้นตอน และยังลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากสารเคมีอันตรายที่ใช้งานในไซต์งานก่อสร้างที่คุณต้องระมัดระวังอยู่เสมอครับ

และถ้าหากว่าคุณไม่อยากพลาดข่าวสาร และสาระดี ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง  รถเครน และปั้นจั่น EK CRANE เราอัปเดตสาระน่ารู้ใหม่ ๆ ที่คุณควรรู้ พร้อมบริการให้เช่ารถเครน หลากหลายประเภท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) คืออะไร เทคนิคปฐมพยาบาลสำคัญที่ควรทราบ

การช่วยฟื้นคืนชีพ

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นเทคนิคการปฐมพยาบาลสำคัญที่ช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะในงานก่อสร้างที่ความปลอดภัยคือสิ่งเราควรเรียนรู้ให้ดี เพื่อป้องกันและเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะการทำ CPR ที่ถูกต้องจะสามารถเพิ่มโอกาสการต่อชีวิตได้ทันท่วงที และสร้างการทำงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพนั่นเองครับ

ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนไปเรียนรู้รายละเอียดการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ทั้งความหมาย ความสำคัญ เทคนิคการนำไปใช้ และข้อควรระวัง เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมั่นใจ

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) คืออะไร ?

การช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary Resuscitation: CPR) คือกระบวนการปฐมพยาบาลที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจและปอดในผู้ที่หัวใจหยุดเต้น หรือหยุดหายใจเฉียบพลัน โดยการกดหน้าอกและเป่าปากเพื่อช่วยให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปยังสมองและอวัยวะสำคัญซึ่งมีผลต่อโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาฉุกเฉินก่อนที่ทีมแพทย์หรือเจ้าหน้าที่กู้ชีพจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุและช่วยเหลือต่อไป

อีกทั้งยังเป็นขั้นตอนที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายถาวรต่อสมองจากการขาดออกซิเจนในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่หมดสติและไม่ตอบสนอง ไม่มีการหายใจ หรือร้ายแรงถึงหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือเหตุการณ์จมน้ำ

การช่วยฟื้นคืนชีพ ในงานก่อสร้าง

3 ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพที่ถูกต้อง

เพื่อให้การช่วยฟื้นคืนชีพมีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ดังนี้ครับ

  1. การตรวจสอบสภาพผู้ป่วย

ก่อนเริ่มการช่วยเหลือ ให้คุณตรวจสอบการตอบสนองของผู้ป่วย โดยเขย่าตัวหรือตบที่หัวไหลเบา ๆ และเรียกเสียงดังเพื่อดูว่าผู้ป่วยตอบสนองหรือไม่ จากนั้นตรวจสอบการหายใจโดยสังเกตว่า ภายในสิบวินาที หน้าอกยกขึ้นลงหรือไม่ หากผู้ป่วยไม่มีการตอบสนองและไม่มีการหายใจ ให้โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินที่หมายเลข 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

  1. การกดหน้าอก

การช่วยฟื้นคืนชีพด้วยการกดหน้าอกเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะสำคัญ โดยเริ่มจากการคลำชีพจร และถ้าหากค้นหาชีพจรไม่เจอ ให้เริ่มกดหน้าอกโดยใช้หลักการ 3 ส่วน ได้แก่

  • ตำแหน่งที่ถูกต้อง วางมือทั้งสองข้างบนกระดูกหน้าอกส่วนกลาง โดยมือข้างหนึ่งวางทับมืออีกข้าง แขนเหยียดตรง
  • จังหวะและความลึก ใช้แรงจากไหล่กดลงลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร หรือ 2 นิ้ว
  • จำนวนครั้งต่อนาที กดหน้าอกจำนวน 100-120 ครั้งต่อนาทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาการไหลเวียนของเลือด
  1. การเป่าปาก

ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพลำดับสุดท้ายคือ การเป่าปากเพื่อเติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย โดยเริ่มต้นจากการเงยศีรษะและยกคางผู้ป่วยขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วบีบจมูกเพื่อป้องกันการรั่วไหล แนบปากสนิทกับปากผู้ป่วยและเป่าลมเข้าสองครั้ง

ให้ผู้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพใช้เวลาประมาณหนึ่งวินาทีต่อครั้ง พร้อม ๆ กับสังเกตว่า หน้าอกผู้ป่วยยกขึ้นหรือไม่ ถ้าหากหน้าอกไม่ยกให้ปรับตำแหน่งศีรษะแล้วลองเป่าใหม่ และทำซ้ำจนกว่าผู้เชี่ยวชาญจะมาถึง

เทคนิคการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ที่ถูกต้อง

การช่วยฟื้นคืนชีพที่มีประสิทธิภาพควรปฏิบัติตามเทคนิค 4 องค์ประกอบ คือ

  • กดให้ลึก ต้องกดหน้าอกให้ลึกเพียงพอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ประมาณ 5-6 เซนติเมตรในผู้ใหญ่ และ 4-5 เซนติเมตรในเด็กเล็ก โดยใช้แรงจากไหล่เพื่อป้องกันการกดลึกไม่พอหรือไม่สม่ำเสมอ
  • กดให้ร้อย โดยรักษาจังหวะการกดหน้าอกให้อยู่ระหว่าง 100-120 ครั้งต่อนาที และมีจังหวะที่สม่ำเสมอ โดยนับ ‘1 และ 2 และ’ เพื่อรักษาความต่อเนื่อง
  • ปล่อยให้สุด หลังการกดแต่ละครั้งต้องปล่อยหน้าอกกลับสู่ตำแหน่งเดิม เพื่อให้หัวใจเติมเลือดอย่างเต็มที่
  • กดไม่หยุด ห้ามหยุดการกดเกินสิบวินาที ยกเว้นเปลี่ยนเป็นการเป่าปากหรือเปลี่ยนคนทำ CPR

เครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยทำ CPR ที่ควรใช้

  • เครื่อง AED อุปกรณ์ที่ช่วยวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจและส่งกระแสไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นหัวใจในกรณีจำเป็น เช่น หัวใจหยุดเต้นจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • หน้ากากช่วยหายใจ ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อระหว่างการเป่าปาก และเพิ่มความปลอดภัยให้การช่วยฟื้นคืนชีพ
  • อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือและหน้ากาก ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อระหว่างผู้ป่วย และผู้ช่วยฟื้นคืนชีพ
การช่วยฟื้นคืนชีพ เครื่อง AED

ข้อควรระวังในการช่วยฟื้นคืนชีพ

  • ระมัดระวังตำแหน่งและแรงที่ใช้กดหน้าอก ซึ่งอาจทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งมีกระดูกเปราะบาง
  • การเป่าปากไม่ควรทำแรงเกินไป เพื่อป้องกันอากาศเข้าสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อน

สรุป

การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นเทคนิคการปฐมพยาบาลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน เพราะการเรียนรู้ ฝึกฝนเทคนิคการ CPR อย่างถูกต้องมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานในไซต์งานก่อสร้างที่พนักงานมีความเสี่ยงมากกว่างานอื่น ๆ และไม่มากก็น้อยครับ

สำหรับใครที่อยากติดตามข่าวสาร ความรู้ และสาระดี ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถเครน และปั้นจั่นสามารถค้นหาข้อมูลจากบทความได้ที่ EK CRANE เพราะเราคือ ผู้นำด้านบริการเช่ารถเครนทุกขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำงานไซต์ก่อสร้าง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เราให้ทีมเซลล์ติดต่อกลับหาคุณได้
ใส่เบอร์โทรด้านล่างได้เลย